LINE : ติดต่อผู้ดูแล

ยินต้อนรับเว็บไซต์ข่าวสารเพจข่าวท้องถิ่นบึงกาฬ

วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2024
ข่าวเด่นบึงกาฬ

อินเดีย’ เซ็นMOU ‘บึงกาฬ’ ร่วมมือด้าน ‘ยางพารา’ ไทยพร้อมพลักดันให้ถึงแสนตัน

201609101508397-20130906165707

เมื่อเวลา 14.00น. วันที่ 10 กันยายน ที่จังหวัดบึงกาฬ มีการลงนามเอ็มโอยู หนังสือแสดงความจำนง (Letter of intent) ระหว่างประเทศไทยเเละประเทศอินเดีย โดยมี ดร.ธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยาง แห่งประเทศไทย,นางกุสุมา หงษ์ชูตา ประธานหอการค้าหอการค้าจังหวัดบึงกาฬ เเละ Mr. Deepak Chaddha ประธานบริษัท Chowdhry Rubber & Chemical Pvt.Ltd, ประเทศอินเดีย ร่วมลงนาม และมี นายพินิจ จารุสมบัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีนเเละส่งเสริมความสัมพันธ์, นายชัยธวัช เนียมศิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ ร่วมเป็นสักขีพยาน

ดร.ธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย กล่าวว่า คณะนักธุรกิจยางพาราจากอินเดีย ให้ความสนใจในการลงพื้นที่ภาคอีสานซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกยางหลักรองจากภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดบึงกาฬมีพื้นที่ปลูกยางมากที่สุดในภาคอีสาน ประมาณ 6.9 แสนไร่ ดังนั้นจึงมีการพบปะระหว่างนักธุรกิจอินเดียกับผู้ประกอบการไทยเเละมีการลงนามร่วมกันในหนังสือเเสดงความจำนงในการซื้อยาง

ดร.ธีธัช กล่าวว่า บทบาทของการยางแห่งประเทศไทยจะเน้นการเปิดตลาดยางใหม่และไม่ไปแทรกแซงตลาดหรือขายผลผลิตแข่งกับใคร การเชิญนักธุรกิจจากประเทศผู้ซื้ออันดับต้นๆของโลกเป็นโอกาสในการสร้างส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับวงการยางพาราไทยมากขึ้น ซึ่งนักธุรกิจกลุ่มนี้มีกำลังซื้อสูง เช่นบริษัทMRFมีกําลังการซื้อประมาณ1เเสนตันต่อปี เป็นต้น สิ่งที่สำคัญที่ประเทศไทยจะต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับธุรกิจต่างชาติคือปรับปรุงคุณภาพผลผลิตให้ได้มาตรฐาน จากผลการแลกเปลี่ยนในพื้นที่ภาคใต้ที่ผ่านมาสิ่งที่นักธุรกิจให้ความเห็นคือคุณภาพของยางไทย

“จะปรับปรุงคุณภาพผลผลิตให้ได้มาตรฐาน ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในคุณภาพของยางไทยอย่างไรต่อไป ซึ่งจะต้องร่วมมือทุกฝ่ายทั้งเกษตรกรชาวสวนยางและผู้ประกอบการในการพัฒนาและสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพยางพาราไทย นอกจากนี้ หลังเกิดกระแสปัญหากรดซัลฟิวริกในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาของพื้นที่ภาคอีสาน กิจกรรมนี้ นับว่าจะพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส และย้ำเตือนว่า ประเทศผู้ซื้อยางรายใหญ่ของโลก มีความสนใจ และพร้อมที่จะรับซื้อยางไม่ว่าจะภาคไหนของประเทศไทย แสดงว่า เราสร้างความเชื่อมั่นและผลิตยางได้คุณภาพมาตรฐานตามที่เขาต้องการ เพราะกลุ่มนักธุรกิจที่มามีทั้งกลุ่มผลิตภัณท์อุตสาหกรรมล้อยาง และอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่ล้อยาง เช่น ถุงมือยาง เป็นต้น บางส่วนก็ยังต้องการยางแท่ง STR บางส่วนก็ต้องการยางลูกขุน และยางแผ่นรมควัน เพราะฉะนั้น ผู้ประกอบการไทย และ ศักยภาพของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรสามารถที่จะจับคู่ธุรกิจได้ และ กยท. จะปรับบทบาทมาเป็นหน่วยงานที่จะสามารถรับรองคุณภาพของยางจากเกษตรกรเพื่อให้เป็นที่เชื่อมั่นของผู้ซื้อได้ว่ายางเหล่านี้ เมื่อผ่านการรวบรวมจาก กยท. แล้วมีมาตรฐาน สามารถส่งมอบ และลงนามในหนังสือแสดงความจำนงในการซื้อยางต่อไป” ดร.ธีธัช กล่าว

นายพินิจ กล่าวว่า การมาเยือนของนักธุรกิจจากประเทศอินเดีย ต้องชื่นชม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเเละ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช. ) ที่นำคณะไปเยือนประเทศอินเดีย เเละได้มีการเจรจาเรื่องการค้าระหว่างไทยกับอินเดีย ซึ่งมีเรื่องยางพาราอยู่ด้วย เเละคณะจากสถานทูตไทยประจำกรุงนิวเดลีได้ทำงานต่อเนื่อง นำคณะนักธุรกิจชาวอินเดีย 9 ท่านจาก 9 บริษัทชั้นนำมาเยือนประเทศไทย มีทั้งบริษัทล้อยางอันดับต้นๆ บริษัทอุตสาหกรรมต่อเนื่องเกี่ยวกับการใช้ยางพาราที่ใหญ่มาก

“ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์และก้าวสำคัญของจังหวัดบึงกาฬ ที่ผู้ประกอบการชาวอินเดียที่ได้มาเยือน ทุกฝ่ายก็มีความยินดี ในเรื่องของมิตรภาพเเละการต้อนรับของจังหวัดบึงกาฬ และได้เยี่ยมชมโรงงานเเละผู้ประกอบการในจังหวัด ซึ่งทางนักธุรกิจได้เห็นยางล้วนบอกว่าคุณภาพดี มีความมั่นใจสูง ก้าวต่อไปเราเองต้องแปรรูปวัตถุดิบให้มีมูลค่ามากขึ้น ตามที่รัฐบาลประกาศให้มีนวัตกรรม 4.0 ร่วมมือกับนานาชาติต่างๆ ซึ่งผมพยายามเชื่อมต่อให้กลุ่มเกษตรกรเข้าถึงนวัตกรรมเเละเทคโนโลยีจากนักวิจัย สถาบันการศึกษา และหน่วยงานต่างๆ เช่น สถาบันการยางเเห่งประเทศไทย”

นายพินิจ กล่าวอีกว่า การลงนามครั้งนี้เป็นบันทึกเจตจำนงความต้องการการซื้อขายโดยตรงระหว่างอินเดียกับเกษตรกรชาวสวนยาง โดยทางอินเดียย้ำว่าจะต้องได้รับผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ซึ่งการซื้อขายยางเริ่มต้นจะพยายามพลักดันต่อไปให้ได้ไม่ต่ำกว่า 100,000 ตันต่อปี เป็นการเริ่มต้นที่ดีที่มีการซื้อขายโดยตรงไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ช่วยเกษตรกรเเละผู้ค้ารายย่อย SME ได้มากตามนโยบายรัฐบาล ที่อยากให้กลุ่มสหกรณ์ SME สามารถขับเคลื่อนไปได้

Mr. Deepak กล่าวว่า บริษัท Chowdhry Rubber & Chemical Pvt.Ltd, เป็นบริษัทซัพพลายนำเข้ายางพาราเพื่อส่งต่อให้บริษัทอุสาหกรรมพาร์ตเนอร์อีก 11 แห่งในประเทศอินเดีย ในครั้งนี้จะมีการลงนามความร่วมมือกับจังหวัดบึงกาฬเพื่อนำเข้ายางพารา ซึ่งขณะนี้มีความต้องการทั้ง ยางเครป ยางแผ่น และยางบล็อก และมีความต้องการน้ำหนักยางพาราที่ประมาณ 35 กิโลกรัมต่อก้อน โดยใน 1 เดือนมีความต้องการยางประมาณ 200-300 ตันต่อ 1 บริษัท ซึ่งเป็นยางพาราปริมาณมาก

นายอภิรัตน์ สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง อัครราชทูตสถานเอกอัครราชฑตู ณ กรุงนิวเดลี กล่าวว่า ได้นําตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจยางพาราอินเดียมาเยือนไทย ประกอบด้วย บริษัทที่อยู่ในกลุ่มสมาคมผู้ผลิตยางล้อในประเทศอินเดีย(AutomotiveTyre Manufacturers Association-ATMA) และสมาคมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางอินเดีย (All India Rubber Industries Association-AIRIA)เพื่อจัดให้มีกิจกรรมพบปะกับผู้ขายเเละผู้ประกอบการธุรกิจยางพาราของไทยรวมทั้งการรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพของธุรกิจยางพาราไทย

“ซึ่งสถานเอกอัคราชทูตดำเนินตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญต่อการผลักดันเรื่องยางพารา โดยการเดินทางครั้งนี้เพื่อให้นักธุรกิจชาวอินเดียเห็นศักยภาพของยางพาราไทยทั้งระบบ ทั้งภาคใต้และภาคอีสาน โดยวัตถุประสงค์หลักเพื่อจับคู่ทางธุรกิจและส่งเสริมการส่งออกยางพาราไทยในรูปแบบต่างๆ เข้าสู่ตลาดอินเดีย ซึ่งปัจจุบันอินเดียมีความต้องการนําเข้ายางธรรมชาติหรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับยางพาราเพื่อรองรับกับความต้องการใช้ยางในด้านอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

นายประชา ทรัพย์พิพัฒนา กรรมการผู้จัดการสหกรณ์กองทุนสวนยางอำเภอบ่อทอง จำกัด จ.ชลบุรี กล่าวว่า การมาร่วมเวทีเจรจาผู้ซื้อพบผู้ขายระหว่างประเทศไทยและคณะนักธุรกิจจากประเทศอินเดียโดยมีการยางแห่งประเทศไทยและสถานฑูตไทยประจํากรุงนิวเดลีเป็นองค์กรหลัก ในการประสานงานครั้งนี้นับเป็นโอกาสทางการตลาดให้กับเกษตรกรยกระดับจากการดําเนินธุรกิจต้นน้ำ พัฒนาสู่กลางน้ำด้วยการแปรรูปผลผลิตของตัวเองให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันสหกรณ์กองทุนสวนบ่อทองได้รับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรในพื้นที่ภาคตะวันออกเป็นหลักในรูปแบบยางแผ่นอัดก้อนส่งประเทศจีนเเละไต้หวัน ซึ่งที่ผ่านมามีกำลังการผลิตประมาณเดือนละ 1,200 ตัน สำหรับประเทศไทยมีโรงงานรับซื้อไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ส่วนประกอบรถยนต์ อย่างมาสด้าหรือฟอร์ด เป็นต้น

นายประชา กล่าวต่อว่า ตลาดยังคงมีความต้องการใช้ยางพาราอย่างต่อเนื่อง สหกรณ์กองทุนฯ บ่อทองจึงมีการขยายกิจการ โดยการสร้างโรงงานเพื่อแปรรูปเป็นยางแท่ง STR 20 คาดว่า จะรับซื้อยางก้อนถ้วยในพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นหลักโดยกําลังการผลิตของโรงงานขั้นต่ำประมาณ3,000ตันต่อเดือน เป้าหมายการเปิดตลาดใหม่ครั้งนี้เน้นการเชื่อมโยงระหว่างสถาบันเกษตรกรกับสถาบันเกษตรกรเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้เพื่อนเกษตรกรชาวสวนยางด้วยกัน จะไม่มีการผูกขาด

“ล่าสุดสหกรณ์กองทุนฯ บ่อทอง ตกลงกับสหกรณ์กองทุนฯ หนองหัวช้าง จำกัด เพื่อรับซื้อผลผลิตยางก้อนถ้วยในการแปรรูปยางแท่งSTR 20 เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าในช่วงกลางเดือนกันยายนเป็นต้นไป จะร่วมมือกับการยางแห่งประเทศไทย จังหวัดบึงกาฬ เชิญผู้นำเกษตรกรของแต่ละพื้นที่ในจังหวัดบึงกาฬและในพื้นที่ภาคอีสานใกล้เคียงหารือร่วมกันในการรวบรวมผลผลิตยางก้อนถ้วยเพื่อสร้างมลูค่าเพิ่ม และเมื่อได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับนักธุรกิจจากอินเดียจะเป็นการเปิดโอกาสในการขยายหรือพัฒนาธุรกิจของสถาบันเกษตรสวนยางไทยต่อไป” นายประชา กล่าว

201609101508392-20130906165707
201609101508399-20130906165707
image

ที่มาข่าว http://www.matichon.co.th/news/280580  Logo (Classic)‘>

ข่าวเด่นบึงกาฬ ล่าสุด

อัพเดทล่าสุด