นับเป็นความสำเร็จที่เห็นภาพอย่างชัดเจน สำหรับอนาคตของยางพาราไทย
หลังการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) พร้อมด้วยสถานทูตไทยประจำกรุงนิวเดลี นำกลุ่มนักธุรกิจ จาก 9 องค์กรชั้นนำ มาดูงานถึงแหล่งผลิตยางพาราในประเทศไทย
อย่างที่รู้กันดีว่าประเทศอินเดีย เป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของโลก ทำให้ในแต่ละปีประเทศอินเดียมีอัตราการบริโภคยางพารามากกว่าล้านตันต่อปี ซึ่งเป็นปริมาณการใช้ยางที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ อภิรัตน์ สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง อัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี ร่วมสนับสนุนการนำกลุ่มตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจยางพาราอินเดียเข้ามาพบปะกับผู้ประกอบการธุรกิจยางพาราของไทย เพื่อรับทราบข้อมูลและศักยภาพของธุรกิจยางพาราไทย
“เรานำตัวแทน ทั้งบริษัทในกลุ่มสมาคมผ้ผูลิตยางล้อในประเทศอินเดีย (Automotive Tyre Manufacturers Association-ATMA) และสมาคมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางอินเดีย (All India Rubber Industries Association-AIRIA) เข้ามา โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อจับคู่ทางธุรกิจและส่งเสริมการส่งออกยางพาราไทยในรูปแบบต่างๆ เข้าสู่ตลาด เพราะปัจจุบันอินเดียมีความต้องการนําเข้ายางธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยางพารา เพื่อรองรับความต้องการใช้ยางพาราในอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง” อภิรัตน์อธิบาย
สอดคล้องกับ ดร.ธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย ผู้ผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศครั้งนี้ เพื่อมุ่งหวังการสร้างตลาดใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยางของประเทศตามบทบาทหน้าที่ของ กยท.
“การเชิญนักธุรกิจจากประเทศผู้ซื้ออันดับต้นๆ ของโลก เป็นโอกาสในการสร้างส่วนแบ่งทางการตลาดในกับวงการยางไทย ซึ่งนักธุรกิจ 9 ท่าน จาก 9 องค์กร ทั้งจากบริษัทผลิตล้อรถยนต์รายใหญ่อันดับ 1 ถึง 3 ของประเทศอินเดีย ที่มีกำลังการผลิตติดอันดับต้นของโลก รวมถึงบริษัทอุตสาหกรรมยางประเภทอื่น เช่น บริษัทถุงมือยาง บริษัทรองเท้ายาง ยังมีตัวแทนหอการค้าอินเดีย ตัวแทนของสมาคมผู้ประกอบกิจการยางพารา อินเดียด้วย”
สำหรับตัวแทนนักธุรกิจจากประเทศอินเดียที่มาเยือนประเทศไทยครั้งนี้ ประกอบด้วย Mr.P.K Hari, Mr.Mohan Kurian, Mr.V.T Chandrashekharan, Mr.Muthuswamy Dhanara, Mr. M.K Mehta, Mr.Rahul Vachaspati, Mr.Vipan Mehta, Mr.Aseem Khanna เเละ Mr.Deepak Chaddha
ทั้งหมดล้วนเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ โปรไฟล์ดี และมีกำลังซื้อ
จากการเยือนแหล่งผลิตยางภาคใต้ที่ จ.สงขลา และยางภาคอีสานที่ จ.บึงกาฬ ผลตอบรับของนักธุรกิจอินเดียเป็นไปตามความคาดหมาย เป้าหมายต่อไปที่ ดร.ธีธัช วางไว้คือ อยากเห็นประเทศอินเดียนำเข้ายางจากประเทศไทย
“แนวโน้มที่อินเดียจะใช้ยางพาราจากประเทศไทยเพิ่มค่อนข้างสูงมาก ตอนนี้เข้าสู่กระบวนการส่งตัวอย่างยางพาราให้ทดลองเเละเชิญมาดูโรงงานผลิตต่างๆ เพื่อให้นักธุรกิจอินเดียมั่นใจเรื่องคุณภาพ ซึ่งทุกวันนี้ประเทศอินเดียนำเข้ายางพาราจากไทยประมาณ 100,000 ตันต่อปี แต่เขายังมีปริมาณความต้องการใช้ยางส่วนเกินประมาณ 400,000 ตันต่อปี ดังนั้นมองว่าถ้าภายใน 2 ปี สามารถเพิ่มปริมาณการนำเข้ายางพาราอย่างน้อยเป็น 200,000 ตันต่อปีได้ จะทำให้เกิดตลาดถ่วงดุลกับประเทศอื่นได้มากขึ้น” ดร.ธีธัชอธิบาย
จากเป้าหมายของ กยท. มีการสานต่ออย่างเป็นรูปธรรมที่เห็นได้ชัดขึ้นที่ “จ.บึงกาฬ”
ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทยบอกว่า คณะนักธุรกิจจากอินเดีย ให้ความสนใจในการลงพื้นที่ภาคอีสานซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกยางหลักรองจากภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดบึงกาฬมีพื้นที่ปลูกยางมากที่สุดในภาคอีสาน ดังนั้นการพบปะระหว่างนักธุรกิจอินเดียกับผู้ประกอบการไทย จึงมีการลงนามร่วมกันในหนังสือเเสดงความจำนงในการซื้อยางขึ้น
สำหรับการลงนามในหนังสือแสดงความจำนง (Letter of intent) เพื่อการซื้อยางระหว่างประเทศไทยเเละประเทศอินเดีย เป็นความร่วมมือระหว่างบริษัทยางพาราจากประเทศอินเดีย โดย Mr.Deepak Chaddha ประธานบริษัท Chowdhry Rubber & Chemical Pvt.Ltd, ประเทศอินเดีย ร่วมกับ มี ดร.ธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย และ กุสุมา หงษ์ชูตา ประธานหอการค้าจังหวัดบึงกาฬ ร่วมลงนาม
Mr.Deepak นักธุกิจจากอินเดียผู้ร่วมลงนามในหนังสือแสดงความจำนงซื้อยางครั้งนี้ ระบุว่า บริษัท Chowdhry Rubber & Chemical Pvt.Ltd, เป็นบริษัทซัพพลายนำเข้ายางพาราเพื่อส่งต่อให้บริษัทอุตสาหกรรมพาร์ตเนอร์อีก 11 แห่งของประเทศอินเดีย ในครั้งนี้จะมีการลงนามความร่วมมือกับจังหวัดบึงกาฬเพื่อนำเข้ายางพารา ซึ่งขณะนี้มีความต้องการทั้ง ยางเครป ยางแผ่น และยางบล็อก และมีความต้องการน้ำหนักยางพาราที่ประมาณ 35 กิโลกรัมต่อก้อน โดยใน 1 เดือนมีความต้องการยางประมาณ 200-300 ตันต่อ 1 บริษัท ซึ่งเป็นยางพาราปริมาณมาก
ความร่วมมือที่เกิดขึ้นนับเป็นก้าวสำคัญของจังหวัดบึงกาฬ จังหวัดน้องใหม่ลำดับที่ 77 ของประเทศไทย ในการบุกเบิกด้านธุรกิจยางพารากับประเทศอินเดีย ที่มีบุคคลสำคัญอย่าง ชัยธวัช เนียมศิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ และ พินิจ จารุสมบัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีนเเละส่งเสริมความสัมพันธ์ ร่วมเป็นสักขีพยาน
พินิจ บอกว่า การลงนามครั้งนี้เป็นบันทึกแสดงเจตจำนงความต้องการการซื้อขายโดยตรงที่เกิดขึ้นระหว่างภาคธุรกิจอินเดียกับเกษตรกรชาวสวนยางในจังหวัดบึงกาฬ โดยทางอินเดียย้ำว่าจะต้องได้รับผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย ขั้นต้นจะพยายามผลักดันการซื้อขายเริ่มต้นไม่ต่ำกว่า 100,000 ตันต่อปี
“นับเป็นการเริ่มต้นที่ดี ที่เกิดการซื้อขายยางโดยตรง ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง มุ่งหวังจะช่วยเหลือเกษตรกร สหกรณ์ และผู้ค้ารายย่อยเอสเอ็มอี ตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งการมาเยือนของนักธุรกิจจากประเทศอินเดีย ต้องชื่นชม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเเละหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่นำคณะไปเยือนประเทศอินเดีย เเละได้มีการเจรจาเรื่องการค้าระหว่างไทยกับอินเดีย ซึ่งมีเรื่องยางพาราอยู่ด้วยจากนั้นมีการสานต่อการทำงานอย่างต่อเนื่องโดยสถานทูตไทยประจำกรุงนิวเดลีนำคณะนักธุรกิจชาวอินเดีย 9 ท่าน จาก 9 บริษัทชั้นนำมาเยือนประเทศไทยที่ จ.สงขลา เเละ จ.บึงกาฬ จนเกิดการลงนามความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์และเป็นก้าวสำคัญของจังหวัดบึงกาฬ”
“สำหรับประเทศอินเดียมีอัตราการใช้ยางพาราก้าวกระโดด 100 เปอร์เซ็นต์ ทำให้มีความต้องการใช้ยางพาราเยอะมาก แต่เขามีผลผลิตไม่เพียงพอ ประกอบกับประเทศจีนมีการใช้ยางพารามีการซื้อวัตถุดิบจำนวนมาก ทำให้ประเทศอินเดียหาซื้อยางพารามากขึ้นด้วย” พินิจอธิบาย
นอกจากการลงนามร่วมกันในหนังสือแสดงความจำนงเพื่อซื้อยางพาราแล้ว ยังมีกิจกรรมสำคัญระหว่างผู้ประกอบการธุรกิจยางพาราของไทยกับผู้ประกอบการธุรกิจยางพาราอินเดีย ในการเจรจาความร่วมมือระหว่างกันด้วย
ประชา ทรัพย์พิพัฒนา กรรมการผู้จัดการสหกรณ์กองทุนสวนยางอำเภอบ่อทอง จำกัด ซึ่งเดินทางมาจาก จ.ชลบุรี เพื่อร่วมกิจกรรมนี้โดยตรง บอกว่า กิจกรรมครั้งนี้เป็นเวทีเจรจาระหว่างผู้ซื้อชาวอินเดียและผู้ขายชาวไทย นับเป็นโอกาสทางการตลาดให้กับเกษตรกร ที่จะยกระดับจากต้นน้ำ พัฒนาสู่กลางน้ำด้วยการแปรรูปผลผลิตของตัวเองให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น สำหรับสหกรณ์กองทุนสวนยางบ่อทองได้รับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรในพื้นที่ภาคตะวันออกเป็นหลัก เรามีกำลังการผลิตประมาณเดือนละ 1,200 ตัน ในการแปรรูปผลผลิตรูปแบบยางแผ่นอัดก้อนส่งประเทศจีนเเละไต้หวัน
“ตลาดยังคงมีความต้องการใช้ยางพาราอย่างต่อเนื่อง สหกรณ์กองทุนฯบ่อทองจึงมีการขยายกิจการ โดยการสร้างโรงงานเพื่อแปรรูปเป็นยางแท่ง STR 20 กําลังการผลิตขั้นต่ำประมาณ 3,000 ตันต่อเดือน โดยคาดว่าในเดือนกันยายนเป็นต้นไปจะมีความร่วมมือกับการยางแห่งประเทศไทยและจังหวัดบึงกาฬ เชิญผู้นำเกษตรกรในพื้นที่ภาคอีสาน หารือร่วมกันในการรวบรวม ผลผลิตยางก้อนถ้วย มาแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ยิ่งได้มีโอกาสมาพบปะพูดคุยกับนักธุรกิจจากประเทศอินเดียยิ่งเป็นการเปิดโอกาสในการขยายธุรกิจและพัฒนาธุรกิจของสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางไทยต่อไป”
เป็นอีกความร่วมมือที่จะยกระดับอุตสาหกรรมยางพาราประเทศไทย เปิดศักราชใหม่ “ยางบึงกาฬ”
ขอขอบคุณภาพข่าวข้อมูลจาก มติชนออนไลน์ อ่านข่าวได้ที่ http://www.matichon.co.th/news/294683‘>