เจ้าสาว จ.บึงกาฬช็อกคางานแต่ง หลังตำรวจบุกจับเจ้าบ่าว ผู้ต้องหาคดีงัดเซฟฉกเงินแสนของห้างสรรพสินค้าชื่อดังกลางเมืองอุดรฯ ขณะจะเข้าพิธีผูกแขนงานแต่งตามประเพณีอีสาน ท่ามกลางญาติฝ่ายเจ้าสาวที่ลงทุนเชือดวัวเลี้ยงแขก ว่าที่เจ้าบ่าวถูกจับใส่กุญแจมือ ได้แต่ปลอบเจ้าสาวว่า ขอโทษ ฝ่ายเจ้าสาวร่ำไห้ด้วยความอับอายญาติๆและแขกที่มาร่วมงาน หลังเพิ่งรู้ว่าเจ้าบ่าวเป็นผู้ต้องหาฉกเงินนายจ้าง เพื่อมาสู่ขอ
ด้านเจ้าบ่าว รับสารภาพเสียงอ่อยๆว่า ก่อนหน้านี้เคยติดคุกคดีพยายามชิงทรัพย์ พ้นโทษออกมาก็เข้าทำงานเป็นพนักงานส่งของในห้างสรรพสินค้า-ค้าส่ง แต่เมื่อต้องไปสู่ขอแฟนสาววัย 17 ปี ที่แม่เจ้าสาวเรียกสินสอด 1 หมื่น ทอง 1 บาท ด้วยความจนรายได้น้อยแค่วันละ 300 บาท เลยวางแผนงัดเซฟเก็บเงินแสนของบริษัท แล้วหนีไปซื้อทอง 3 เส้น เส้นแรกให้เจ้าสาว เส้นที่สองให้แม่ยาย และเส้นที่สามให้ตัวเอง เผยขณะตำรวจบุกจับที่บ้านเจ้าสาว ยึดสร้อยทองจากคอแม่เจ้าสาว และเจ้าสาว ถึงกับหน้าถอดสีด้วยความอับอาย พร้อมเงินที่เหลือ 3.1 หมื่นบาท
งานแต่งกลายเป็นงานเศร้า เมื่อเจ้าบ่าวถูกจับ โดยเมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 29 พ.ค. ที่ห้องสืบสวน สภ.เมืองอุดรธานี พ.ต.อ.ภูมิวิทย์ เวชกามา ผกก.สภ.เมืองอุดรธานี พร้อมด้วย พ.ต.ท.ชาญณรงค์ มากพิสุทธิ์ รอง ผกก.สส.ฯ พ.ต.ต.อำนาจ ทาก้อม สวป.ฯ พ.ต.ต.ศัลย์ พินิจวัฒนา สว.สส.ฯ ร.ต.อ.อรรคพล ยี่เกาะ รอง สว.สส.ฯ ร.ต.ท.บรรจง พาโคตร รอง สว.สส.ฯ ร.ต.ท.เวนิช ประเสริฐ รอง สว.สส.ฯ ร่วมกันแถลงข่าว การจับกุมผู้ต้องหางัดตู้เซฟของห้างสรรพสินค้าเซฟมาร์ท ผู้ต้องหา คือ นายปิยะราช หรือ แน็ค ขุลีดี อายุ 23 ปี อยู่ ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี พร้อมของกลาง มี 1.เงินสดจำนวน 31,800 บาท 2.สร้อยคอทองคำหนัก 2 สลึง ราคาเส้นละ 12,080 บาท จำนวน 3 เส้น รวมมูลค่า 36,240 บาท 3.กระเป๋าสะพายสีน้ำตาล – เหลือง จำนวน 1 ใบ เบื้องต้นแจ้งข้อหา “ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ฯ หรือรับของโจร”
พ.ต.อ.ภูมิวิทย์ กล่าวว่า ทั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 25 พ.ค. ที่ผ่านมา ร.ต.ท.ปัญญา โยวะ นายร้อยเวร สภ.เมืองอุดรธานี รับแจ้งจากนายสุชาติ สุระวรรณวิจิตร อายุ 49 ปี อยู่แขวงบางคอแหลม เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ และเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้า เซฟมาร์ท ซุปเปอร์สโตร์ ถ.รอบเมือง ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี ว่า มีคนร้ายงัดประตูห้องทำงานเข้าไปงัดเซฟเก็บเงินจำนวนกว่า 1 แสนบาท เมื่อไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพบว่า เงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่พนักงานเพิ่งไปเก็บเงินจากลูกค้ามาจาก จ.หนองคาย ยังไม่ได้รวบรวมเก็บเข้าเซฟใหญ่
ทำให้มีผู้ต้องสงสัย คือ พนักงานของห้างฯ โดยมีนายปิยะราช หรือ แน็ค 1 ในพนักงานได้หายตัวไป จึงสั่งการให้ พ.ต.ท.ชาญณรงค์ มากพิสุทธิ์ รอง ผกก.สส.ฯ นำกำลังออกสืบสวนหาตัวผู้ต้องสงสัยรายนี้ กระทั่งสืบทราบว่าหลบหนีไปในพื้นที่ จ.บึงกาฬ ซึ่งเป็นบ้านของแฟนสาว กระทั่งติดตามตัวมาได้ พร้อมยอมรับสารภาพทันทีว่าเป็นคนลงมือก่อเหตุขโมยเงินจากบริษัทไปจริงเพื่อเอาไปใช้จ่ายในการแต่งงานกับแฟนสาว
พ.ต.ท.ชาญณรงค์ เปิดเผยว่า หลังสืบทราบว่านายปิยะราช หรือ แน็ค เป็นผู้ต้องสงสัย จึงติดตามไปที่บ้านพักที่บ้านศรีบุญเรือง ต.บ้านตาด และทราบว่าไปพักอาศัยอยู่กับลุงที่บ้านดอนหวาย ต.กุดสระ เมื่อติดตามไปพบเพียงญาติๆ และเพื่อนที่ทำงานที่ให้เบาะแสว่านายปิยะราช มีแฟนสาวอยู่ที่ ต.โซ่พิสัย อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ จึงรีบไปติดตามหาตัวมาสอบสวนและพบนายปิยะราช กำลังเตรียมการจัดงานแต่งงานผูกแขนกับเจ้าสาวที่บ้านของฝ่ายเจ้าสาว เมื่อค้นกระเป๋าสะพายของนายปิยะราช ก็พบเงินสดจำนวน 31,800 บาท และที่คอมีสร้อยคอทองคำใหม่เอี่ยม 1 เส้น ก่อนจะยอมรับสารภาพว่า เป็นคนลงมือขโมยเงินจากบริษัทแล้วหนีมาเข้าพิธีแต่งงานกับแฟนสาว เนื่องจากไม่มีเงินสู่ขอ จึงตัดสินเป็นโจรเพื่อนำเงินมาจัดงานแต่งกับสาวคนรัก
พ.ต.ท.ชาญณรงค์ กล่าวต่ออีกว่า เบื้องต้นนายปิยะราช ได้ให้การรับสารภาพว่า ได้เงินสดมาเกือบแสนบาท แล้วหนีมาเตรียมงานแต่งทันที เอาเงินไปซื้อสร้อยคอทองคำในร้านทองที่ตลาด อ.โซ่พิสัย จำนวน 3 เส้น เพื่อให้เจ้าสาวสวมใส่ 1 เส้น ให้แม่ยาย 1 เส้น และให้ตัวเองใส่ในพิธีอีก 1 เส้น โดยซื้อทองไปราคาเส้นละ 12,080 บาท รวมเป็นเงิน 36,240 บาท แล้วก็ซื้อเสื้อผ้า ของใช้ อาหาร เครื่องดื่มในการเตรียมงานวิวาห์กับสาวคนรัก ที่ใฝ่ฝันมาทั้งชีวิต เหลือเงินติดตัว 31,800 บาท จากนั้นจึงให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปขอตรวจยึดสร้อยทองอีก 2 เส้น จากคอเจ้าสาว และคอแม่เจ้าสาว โดยมีนายปิยะราช เป็นผู้อธิบายให้ทั้งสองคนเข้าใจในการตรวจยึดคืนของกลาง
ด้านนายปิยะราช เจ้าบ่าวที่กลายเป็นผู้ต้องหารายนี้ ได้ให้การรับสารภาพว่า เมื่อครั้งยังเป็นเยาวชน ตนเคยถูกจับคดีลักทรัพย์มาแล้ว 3 ครั้ง ต่อมาเมื่อปี 2554 ไปทำงานที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ได้ถูกจับคดีพยายามชิงทรัพย์รถจักรยานยนต์ ศาลตัดสินจำคุก 2 ปี 7 เดือน เพิ่งพ้นโทษมาเมื่อเดือน พ.ย.57 ที่ผ่านมา แล้วมาช่วยพี่สาวทำงานขายเสื้อผ้าที่ตลาดปรีชา ย่านเซ็นเตอร์พ้อยต์ หลังสถานีรถไฟอุดรฯ และเพิ่งเข้ามาทำงานเป็นพนักงานส่งของที่ห้างสรรพสินค้า เซฟมาร์ท ซุปเปอร์สโตร์ ได้ประมาณ เกือบ 3 เดือน
ตนทำหน้าที่ส่งของตามร้านค้าใน จ.หนองคาย และบึงกาฬ จนมีโอกาสได้รู้จักกับแฟนสาวชื่อ อิ๋ง (นามสมมติ) อายุ 17 ปี ทำงานอยู่ร้านขายของแห่งหนึ่งใน อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ (สาวใน ต.โซ่พิสัย จะเรียกกันว่าสาวโซ่) เมื่อมาส่งของที่ อ.โซ่พิสัย ก็จะแวะหาแฟนสาว จนตกลงที่จะไปสู่ขอ โดยได้ตกลงกับแม่ของแฟนสาวว่า จะเอาเงินมาสู่ขอจำนวน 1 หมื่นบาท พร้อมสร้อยคอทองคำหนัก 2 สลึง ให้เจ้าสาว 1 เส้น ให้แม่ยาย 1 เส้น ให้ตัวเอง 1 เส้น เพื่อใส่ในวันวิวาห์ โดยกำหนดแต่งงานในวันที่ 29 พ.ค. วันนี้
นายปิยะราช ให้การรับสารภาพต่ออีกว่า เมื่อใกล้วันวิวาห์ ตนยังหาเงินไม่ได้ เพราะมีรายได้แค่วันละ 300 บาท เดือนที่แล้วก็ทำงานล่วงเวลาได้มารวมแล้วก็ 1.2 หมื่นบาท แต่ก็ใช้จ่ายจนหมดแล้วทำให้กลุ้มใจเรื่องเงินสินสอดทองหมั้น จึงตัดสินเข้าไปงัดห้องผู้จัดการ ขโมยเอาเงินที่ได้ไปร่วม 1 แสนบาท แล้วหลบนหนีไปที่บ้านแฟนสาวทันที พร้อมกับซื้อสร้อยทองและซื้อของใช้ในงานแต่ง โดยแม่เจ้าสาวก็ลงทุนฆ่าวัวที่เลี้ยงไว้ 1 ตัว เพื่อเลี้ยงแขกในงานด้วย ตอนที่ถูกจับและขอสร้อยคอทองคำคืนจากเจ้าสาวและแม่ยาย ตนพูดเพียงว่า “ขอโทษ” เจ้าสาวได้แต่ร่ำไห้ไม่ยอมพูดอะไร
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมอีกว่า ขณะตำรวจคุมตัวผู้ต้องหาแถลงข่าวได้มีนายสุชาติ สุระวรรณวิจิตร เจ้าของห้างเซฟมาร์ท ซุปเปอร์สโตร์ มาชี้ตัวผู้ต้องหาและยืนยันเงินของกลาง ก่อนจะมอบเงินรางวัลให้กับชุดจับกุมจำนวน 1 หมื่นบาท’>