ถ้าพูดถึงจังหวัดบึงกาฬ เราก็พอจะรู้ว่านี้คือจังหวัดน้องใหม่ที่แยกออกมาจากจังหวัดหนองคาย แต่ถ้าถามว่า “บึงกาฬมีอะไรเที่ยวบ้าง?” เรากลับนึกแทบไม่ออก จนกระทั่งได้มีโอกาสมาเที่ยวทริปนี้ที่บึงกาฬถึงได้รู้ว่าบึงกาฬมีของดีไม่แพ้จังหวัดอื่นๆ เลย ไม่เชื่อมาดูกันว่า 3 วัน 2 คืนที่จังหวัดบึงกาฬเราได้ไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง
ทริปนี้เราออกเดินทางกันด้วยสายการบิน Thai Lion Air จากสนามบินดอนเมือง ไฟล์ทออกแต่เช้าตรู่ ใช้เวลาราวๆ หนึ่งชั่วโมงก็ถึงจังหวัดอุดรธานี แวะหาอะไรรองท้องยามเช้ากันที่ “ร้านข้าวเปียก”
อิ่มแล้วก็เตรียมตัวเดินทางสู่จังหวัดบึงกาฬ จุดหมายแรกคือ วัดโพธิ์ชัยศรี ชุมชนบ้านแสงเจริญ อำเภอศรีวิไล ประทับใจกันตั้งแต่ก้าวแรกที่ไปถึง เพราะบรรดาพ่อๆ แม่ๆ ที่บ้านแสงเจริญมายืนรอต้อนรับพร้อมมาลัยดอกไม้ แถมยังมีข้าวต้มมัดและน้ำดื่มเย็นๆ ชื่นใจเตรียมไว้ให้ด้วย
ชุมชนบ้านแสงเจริญมีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2360 เป็นชาวไทยญ้อที่อพยพย้ายถิ่นมาอยู่ที่ประเทศไทย กินข้าวต้มมัดไป ชมการแสดงของชาวบ้านไป เพลินดีจริงๆ
นอกจากข้าวต้มมัดแล้วยังมีกล้วยฉาบทอดร้อนๆ ให้ชิมอีกด้วย เป็นกล้วยน้ำว้าฝานบางทอดจนกรอบ หรือจะใช้กล้วยหอมก็อร่อยไม่แพ้กัน ของดีบ้านแสงเจริญยังไม่หมดแค่นี้ เดินตามชาวบ้านเข้าไปชม ศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราช เป็นที่อนุรักษ์และแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น แล้วยังมีสินค้า OTOP ให้ช็อปอีกด้วย
เดินช็อปกันหนำใจแล้วก็ได้เวลาอาหารกลางวัน มื้อนี้ฝากท้องไว้กับชุมชนบ้านแสงเจริญนี่แหละ มาเที่ยวชุมชนก็ต้องกินอาหารถิ่น มื้อนี้มีทั้งซุปหัวปลี แกงหน่อไม้ ส้มตำ และเมนูเด็ดที่มาแล้วต้องไม่พลาดก็คือ ก้อยหมากลิ้นฟ้า หรือก้อยเพกา ที่มีส่วนผสมสำคัญคือหมากลิ้นฟ้า ซึ่งเป็นผลไม้ชนิดหนึ่ง นำเอาไปเผาไฟให้นุ่ม แช่น้ำแล้วขูดหั่นบางๆ ใส่มะนาวลงไปลดความขม ใส่หมู ใส่ปลาร้า ปรุงรส คลุกเคล้าให้เข้ากัน อร่อยนัวเลยเชียวล่ะ
นอกจากชุมชนบ้านแสงเจริญแล้ว ที่อำเภอศรีวิไลยังมีที่เที่ยวไฮไลต์ของจังหวัดบึงกาฬอยู่ด้วย แถมยังอยู่ใกล้กับบ้านแสงเจริญแค่นิดเดียว ขับรถไปอีกราวๆ สิบห้านาทีก็ถึง ภูทอก หรือวัดเจติยาคีรีวิหาร จุดเด่นของที่นี่คือสะพานไม้ทางเดินที่สามารถชมวิวทิวทัศน์ได้รอบเขาแบบ 360 องศา
ความสวยงามรอเราอยู่ข้างบน แต่กว่าจะขึ้นไปชมได้ต้องวัดใจและพลังขากันเล็กน้อย เพราะทางเดินทั้งหมดมีถึง 7 ชั้น เป็นทางขึ้นเขาที่มีบันไดตลอดทางแต่ระยะทางก็ไม่น้อยเลย จุดที่จะชมวิวได้สวยคือชั้นที่ 5-6 ถ้าขึ้นไปถึงตรงนั้นได้ นอกจากความสวยแล้วยังได้ความเสียวของทางเดินไม้ไต่รอบเขาเป็นของแถมอีก
เดินขึ้นภูทอกออกแรงได้เหงื่อกันเล็กน้อยแล้ว แต่โปรแกรมวันนี้ยังไม่จบ ยังมีอีกหนึ่งไฮไลต์รอเราอยู่ที่ภูสิงห์ จากภูทอกขับรถต่อไปอีกราวๆ 40 นาที ก็ถึงป่าสงวนแห่งชาติภูสิงห์ ถ้าใครเคยเห็นภาพหินสามวาฬ หินขนาดใหญ่เรียงตัวกันเหมือนวาฬพ่อ แม่ ลูก ล่ะก็ มาดูได้ที่ภูสิงห์นี่แหละ
ป่าสงวนแห่งชาติภูสิงห์เป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์มีลักษณะเป็นภูเขาหินทราย การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก ทำให้เกิดลักษณะทางธรณีวิทยาที่โดดเด่น อย่างเช่น หน้าผา ถ้ำ การเรียงตัวของก้อนหิน กลายเป็นจุดชมวิวที่สวยงาม
การเดินทางขึ้นภูสิงห์ต้องใช้รถโฟร์วิลเท่านั้น เนื่องจากถนนไม่ได้ลาดยาง สามารถติดต่อเช่ารถได้ที่สำนักงานด้านหน้าได้เลย หรือ ติดต่อเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าได้ที่ โทร. 090-842-5613 และ 085-666-3699
เหนื่อยกันมาทั้งวันแล้วได้เวลาเข้าที่พัก คืนแรกเราพักกันที่บ้านพักริมดอยรีสอร์ท อำเภอบุ่งคล้า เป็นที่พักเรียบง่ายแต่สะดวกสบาย แอร์เย็น น้ำอุ่น บรรยากาศดี อยู่ติดริมแม่น้ำโขงด้วย
ติดต่อบ้านพักริมดอยรีสอร์ท โทร.081-965-2429
Facebook : บ้านพักริมดอยรีสอร์ท อ.บุ่งคล้า จ.บึงกาฬ
ตื่นเช้ารองทองด้วยข้าวเปียกร้อนๆ ที่บ้านพักริมดอยอร่อยจนอยากจะต่ออีกสักสองสามชาม จากนั้นก็ได้เวลาไปทำความรู้จักกับชุมชนบ้านบุ่งคล้า อำเภอบุ่งคล้า บ้านบุ่งคล้าเป็นชุมชนชาวไทยญ้ออยู่ริมแม่น้ำโขง ยังคงใช้ภาษาญ้อเป็นภาษาถิ่น จุดแรกเราแวะไปที่ศาลาประชาคมเพื่อทำพิธีบายศรีสู่ขวัญและชมสินค้า OTOP ของชุมชนกันก่อน
จากนั้นก็ได้เวลาลงเรือ นั่งเรือล่องแม่น้ำโขง ชมวิถีชีวิตริมโขง ธรรมชาติฝั่งลาวที่เป็นภูเขาสวย และถ้ามีเวลามากกว่านี้สามารถไปได้ถึงจุดชมแม่น้ำสองสี แต่พอดีเรามีเวลาไม่มากพอก็เลยขอติดไว้ก่อน โอกาสหน้าต้องกลับมาชมแม่น้ำสองสีให้ได้เลย
เพลิดเพลินกับการนั่งเรือล่องแม่น้ำโขงแล้วก็ได้เวลาอำลาบ้านบุ่งคล้า จุดหมายถัดไปคือ วัดโพธาราม ชุมชนบ้านท่าไคร้ อำเภอเมืองบึงกาฬ ที่นี่มีของดีน่าชมมากมาย แต่เมื่อมาถึงแล้วก็ต้องทำพิธีบายศรีสู่ขวัญกันก่อน
เสร็จพิธีแล้วชาวบ้านท่าไคร้ก็ไม่ปล่อยให้เราหิว จัดอาหารท้องถิ่นชุดใหญ่ให้เราเติมพลังกัน มื้อนี้มีทีเด็ดคือลาบน้ำอ้อม ที่ใช้เนื้อปลาน้ำโขงมาทำเป็นลาบรสเด็ด ทานกับข้าวเหนียว ส้มตำ ปลาร้าทอด ชวนเจริญอาหารดีนัก กระซิบเบาๆ ว่าส้มตำชาวบ้านท่าไคร้แซ่บนัวมาก เห็นพวกเราเอร็ดอร่อยกันมากจนดูท่าว่าส้มตำจะไม่พอ แม่ครัวถึงกับรีบวิ่งไปตำเพิ่มมาให้ ก็แหม.. ของเขาอร่อยจริงๆ นี่นา
อิ่มแล้วก็ได้เวลาสักการะหลวงพ่อพระใหญ่ พระคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดบึงกาฬซึ่งประดิษฐานอยู่ในวัดโพธาราม ชุมชนบ้านท่าไคร้นี่เอง ตามตำนานของชาวบ้านท่าไคร้ที่เล่าต่อกันมา หลวงพ่อพระใหญ่ถูกพบอยู่บริเวณนี้ตั้งแต่สมัยที่ชาวบ้านย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากที่นี่ จึงเป็นที่เคารพของคนในชุมชนเรื่อยมา
ไหว้พระขอพรแล้วก็เดินไปชมซากเรือกำปั่นโบราณที่ถูกค้นพบบริเวณริมโขงบ้านท่าไคร้ สันนิษฐานว่าเป็นเรือที่ขนสินค้าไปขายที่นครเวียงจันทน์ แต่กลับมาล่มเสียก่อน คาดว่าล่มในปี พ.ศ.2490 หลังจากกู้ซากขึ้นมาได้ ก็นำมาจัดตั้งให้นักท่องเที่ยวเดินชม
ตื่นตาตื่นใจกับการชมเรือโบราณ เพราะไม่เคยเห็นเรือโบราณถูกนำมาจัดแสดงแบบนี้มาก่อน เสร็จแล้วชาวบ้านท่าไคร้ก็ชวนพวกเราไปจุดบั้งไฟจิ๋วถวายหลวงพ่อพระใหญ่กัน แท่นจุดบั้งไฟจิ๋วถูกทำไว้อย่างดี แค่เราเสียบบั้งไฟเข้าไปที่แท่นแล้วก็จุดไฟ บั้งไฟก็ทะยานขึ้นสู่ฟ้า ถ้าใครจะถ่ายรูปก็ตั้งกล้องรอให้ดีๆ เพราะบั้งไฟวิ่งเร็วมาก
ปิดท้ายวันนี้ที่วัดอาฮงศิลาวาส ที่มีไฮไลต์คือจุดชมสะดือแม่น้ำโขง ที่เป็นจุดที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขง มีความลึกกว่า 200 เมตร นอกจากจุดชมสะดือแม่น้ำโขงแล้ว ทิวทัศน์ริมน้ำโขงยังสวยงามมากๆ เก็บภาพสวยๆ ได้อีกเพียบ
คืนนี้เราเข้าพักกันที่โรงแรมโขงค้ำคูณ อำเภอปากคาด เป็นโรงแรมที่อยู่ติดริมแม่น้ำโขงวิวดีมาก ชาวบ้านแถวนั้นบอกว่าช่วงที่มีบั้งไฟพญานาค ลูกค้าจะเข้าพักแน่นเพราะว่าที่ริมโขงหน้าโรงแรมมีบั้งไฟขึ้นด้วย
วันสุดท้ายที่บึงกาฬ เราตรงไปที่ชุมชนบ้านนาดงน้อย อำเภอปากคาด เป็นชุมชนวิถีเกษตร ชาวบ้านส่วนมากยึดอาชีพทำสวนยางพาราและทำนาเป็นหลัก นอกจากนี้อำเภอปากคาดยังขึ้นชื่อเรื่องสวนผลไม้วิถีเกษตรอินทรีย์ ที่ปรับเปลี่ยนจากการทำสวนยางอย่างเดียว แบ่งพื้นที่มาทำสวนผลไม้ผสมผสาน ยึดแนวทางตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ที่บ้านนาดงน้อยมีกิจกรรมสนุกๆ สำหรับนักท่องเที่ยว คือการนั่งรถอีแต๊กสัมผัสวิถีชุมชน ระหว่างทางจะผ่านบ้านเรือนของชาวบ้านนาดงน้อย ผ่านแหล่งผลิตสินค้า OTOP ของชุมชน
นั่งรถเที่ยวจนเหนื่อย กลับเข้ามาที่ศูนย์การเรียนรู้ชุมชน ชาวบ้านจัดเตรียมอาหารกลางวันไว้ อาหารพื้นบ้านกับการแสดงพื้นถิ่นแบบนี้รักเลย
ทานอาหารเสร็จก็ได้เวลาอำลาจังหวัดบึงกาฬ พ่อๆแม่ๆ ชาวบ้านนาดงน้อยพากันเดินมาส่งถึงรถ แม้จะมีเวลาอยู่ที่นี่แค่ไม่นาน แต่ความน่ารักของชาวบ้านทำให้เรายังไม่อยากกลับเลย
ถึงแม้บึงกาฬอาจจะยังไม่ใช่จังหวัดท่องเที่ยวที่เป็นที่รู้จักมากนักในปัจจุบัน แต่หากได้ลองมาสัมผัสถึงวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของผู้คนที่นี่ ผ่านชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีแล้วล่ะก็ ไม่แน่ว่าบางที บึงกาฬอาจจะกลายเป็นจุดหมายแห่งใหม่ ที่สร้างความประทับใจจนทำให้ใครๆ ก็อยากกลับมาเที่ยวอีกครั้งเหมือนที่เรารู้สึก ก็เป็นได้
ขอขอบคุณ โครงการสื่อสารสร้างการรับรู้ชุมชนท่องเที่ยว (ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี จังหวัดบึงกาฬ) ภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน
** สนใจลงรีวิวในเว็บไซต์ letscheckinmag.com ติดต่อได้ทางอีเมล letscheckinmag@gmail.com หรือทาง Facebook : Let’s Check in เรื่องกิน เรื่องเที่ยว
*** บทความนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ letscheckinmag.com กรุณาสนับสนุนทีมงานด้วยการแชร์ link กลับมายังเว็บ letscheckinmag.com เท่านั้น ห้ามคัดลอก ทำซ้ำ หรือดัดแปลงส่วนใดไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาตโดยเด็ดขาด‘>