วันที่ 16 มิ.ย.65 กรณีนายสันติ หรือหวัง ศุภอภิรดีไพลิน อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีฆ่าผู้อื่นเหตุฆาตกรรมเพื่อนชาวไทย 2 สามีภรรยารวมลูกแฝดในท้อง 4 ศพ ทิ้งท้ายรถยนต์หรูบริเวณลานจอดรถสถานีรถไฟความเร็วสูงเถาหยวนในไต้หวัน ก่อนหนีกลับมาประเทศไทย
ล่าสุด เมื่อเวลา 16.00 น. ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านพักของนายสมบูรณ์ ศรีละคร อายุ 39 ปี อยู่ ต.โป่งเปือย อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬ ซึ่งเป็นแรงงานชาวไทยที่เดินทางไปทำงานที่ประเทศไต้หวัน เพื่อพบกับญาติๆ เพื่อสอบถามความรู้สึกที่มีกระแสข่าวว่าเป็นผู้ที่ขโมยทอง 15 บาทและเงินสดจำนวน 800,000 บาทของ นายประเสริฐ โนราช อายุ 32 ปีชาว จ.อุบลราชธานี และน.ส.พจนีย์ แช่หลี อายุ 35 ปี ชาว จ.เชียงใหม่ 2 สามี-ภรรยาชาวไทย
ซึ่งคนแรกที่ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยด้วย คือนางชาลี โคสมบูรณ์ อายุ 80 ปี ซึ่งเป็นแม่ยาย ได้เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ได้ยินเรื่องลูกเขยครั้งแรกก็รู้สึกตกใจว่าไปลักเงินลักทองเขาตั้งมากมายได้อย่างไร ไม่เห็นส่งกลับมาบ้านบ้าง แต่ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ตามที่ผู้สื่อช่าวแจ้งให้ทราบว่ามีกระแสข่าวลักทอง 15 บาทและเงินอีกตั้ง 800,000 บาท เพราะตนเชื่อในพฤติกรรมลูกเขยคนนี้ดี ตลอดที่มาอยู่บ้านหลังนี้ด้วยกันกว่า 20 ปีแล้ว และเป็นคนบ้านเดียวกันเห็นเขามาตั้งแต่เด็กๆ แม้แต่ไก่ก็ไม่กล้าฆ่ากิน เพราะเป็นคนใจดีใจอ่อนขี้สงสาร
ส่วนคนที่สำคัญต่อมาคือ น.ส.แจ่มฟ้า หรือหนิง ศรีลคร อายุ 37 ปี ภรรยาสาว ขณะที่กำลังจะเริ่มให้สัมภาษณ์ปรากฎว่า นายสมบูรณ์ สามีโทร messenger จากไต้หวันเข้ามาพอดี จึงได้คิวสัมภาษณ์ก่อน โดยนายสมบูรณ์ แรงงานไทยซึ่งมีกระแสข่าวว่าถูกนายสันติ ผู้ต้องหาฆาตกรรมซัดทอดเป็นผู้ขโมยทรัพย์สินของคู่สามีภรรยาไปก่อนจะถูกฆาตกรรมว่า ผมไม่มีส่วนรู้เห็นในทรัพย์สินที่อ้างว่าสูญหายของผู้ตายทั้ง 2 อย่างแน่นอน เพราะ 1.ไม่เคยรู้จักกับผู้ตายทั้งสอง รู้จักกับนายสันติ แต่ไม่สนิทกัน รู้จักในฐานะพ่อบ้าน หัวหน้าหอและหัวหน้าคนงานเท่านั้น 2.ผมได้ย้ายออกจากหอพักมาหาทำงานที่แห่งใหม่นานกว่า 2 เดือนครึ่งแล้ว เนื่องจากทำงานที่เก่าได้เงินเดือนแค่ 25,000 บาทเท่านั้น งานโอก็ไม่มี หักค่าล่าม ค่าห้อง ค่าแอร์ ค่าอาหาร หากฝาก ไม่พอจะส่งให้ทางบ้าน จึงออกมาทำงานแห่งใหม่ได้เงินเดือนมากกว่าคือประมาณเดือนละ 45,000 บาท ส่งกลับทางบ้าน 2-23,000 บาท ก็พอได้ส่งหนี้ ธกส.บ้าง ที่เหลือก็เก็บไว้ใช้เป็นค่าเช่าหอ ค่าอาหาร และอื่นๆ ส่วนที่ว่าเห็นนายสันติผู้ต้องหาใส่ทองเส้นโตหรือไม่ก็เห็นเป็นปกติ ในฐานะพ่อบ้านและหัวหน้าคนงานคิดว่าเขาต้องมีเงินมีทองอยู่แล้ว ส่วนเรื่องส่วนตัวอื่นๆ ไม่รู้จักกับเขา และผู้ตายทั้ง 2 คนก็ไม่เคยรู้จักแม้แต่ชื่อ ยืนยันไม่มีส่วนรู้เห็นในทรัพย์สินที่หายไปและการเสียชีวิติ 100 เปอร์เซ็นต์ ในเรื่องที่ถูกสัดทอดตนยินดีให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่เสมอหากจะสอบถามหรือเรียกไปสอบ ยืนยันไม่มีนิสัยลักเล็กขโมยน้อยเด็ดขาดอยู่แล้ว ไม่งั้นไม่บากหน้าทิ้งครอบครัวมาหาเงินในต่างแดนให้ลำบากหรอก
ส่วน น.ส.แจ่มฟ้า หรือหนิง ผู้ภรรยา กล่าวว่าได้ยินครั้งแรกก็ตกใจ เพราะไม่เคยเจอและได้ยินปัญหาใหญ่แบบนี้ ครั้งแรกก็ไม่ได้ติดตามข่าวนี้ แต่พอได้ยินผู้สื่อข่าวมาสอบถามก็ตกใจ จึงรีบโทรไปสอบถามสามี ก็เบาใจเพราะว่าสามีออกจากบริษัทเดิมมานานแล้ว ยืนยันว่ามั่นใจในสามีว่าไม่ได้ทำตามที่ผู้ต้องหาซัดทอด คงเป็นการปัดความผิดจากการกระทำของตนเอง เพื่อใส่ร้ายสามีที่หนีออกมาหางานใหม่ทำ ซึ่งก็ได้ออกมานานเกือบ 3 เดือน ไม่ใช่เป็นเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นไม่นานก่อนสามีภรรยาถูกฆาตกรรม และสามีก็พึ่งเดินทางไปทำงานที่ไต้หวันได้แค่ 14 เดือนเศษ และก็ส่งเงินมาใช้หนี้ ธกส.ทุกเดือน ก่อนหน้านี้ก็ส่งมาน้อยเนื่องจากเงินเดือนน้อย พอสองเดือนมานี่เองค่อยส่งมามากหน่อย เพราะย้ายที่ทำงานใหม่ และถ้าว่างๆ ก็ได้โทรศัพท์มาคุยด้วยวันละ 4-5 ครั้งแล้วแต่มีเวลาว่าง เชื่อมั่นว่าสามีเป็นคนดี และมีความซื่อสัตย์ต่อตัวเองและครอบครัว ถึงแม้จะแต่งงานอยุ่กินด้วยกันมากว่า 20 ปียังไม่มีบุตรด้วยกัน แต่พวกเราก็ยังรักกันเหนียวแน่นเหมือนเดิม ก็อยากฝากถึงสามีว่าขอให้สมบูรณ์(สามี) สู้ๆ เพื่อครอบครัว การทำงานก็อย่าไปกังวล ในเมื่อตัวเองบริสุทธิ์ใจ ทำทุกอย่างให้เต็มที่และมีความเชื่อมั่นในตัวเองเหมือนที่ผ่านมา สิ่งไหนไม่ดีก็ให้คิดเอาเอง สิ่งที่ผิดพลาดผ่านมาก็ขอให้เป็นบทเรียน สิ่งไหนที่เป็นปัญหาคือ ณ ตอนนี้ก็ถือว่าเป็นบททดสอบของชีวิต จงสู้ต่อไปขอเป็นกำลังใจให้เสมอ