สุดเศร้า เผาร่างเหยื่อ หนุ่มกราดยิงที่บึงกาฬ ตร.ค้นบ้านเจอจดหมาย อ้างถึงผู้มีอิทธิพลในเรือนจำ พ่อยอมรับ รู้ลูกชายต้องก่อเหตุ แจ้งข่าวญาติพี่น้องให้ระวังตัว แม้แต่ตัวเองยังไม่กล้าอยู่บ้าน
จากกรณีชายชาวจังหวัดบึงกาฬใช้ปืนยิงชาวบ้าน ก่อนยิงตัวเองเสียชีวิต เบื้องต้นพบว่ามูลเหตุจูงใจการก่อเหตุเกิดจากความขัดแย้งภายในครอบครัวเครือญาติ โดยผู้ก่อเหตุเคยต้องโทษจำคุกเพราะฆ่าลูกชายคนโตของอา และเคยขู่ว่าหลังพ้นโทษจะออกมาล้างแค้น ซึ่งครั้งนี้ ผู้ก่อเหตุได้ยิงอาและลูกชายอีก 1 คน รวมทั้งเจ้าหน้าที่กู้ภัยได้รับบาดเจ็บ ก่อนยิงชาวบ้านที่ไม่ใช่คู่ขัดแย้งอีก 2 คนเสียชีวิตกลางถนน
ล่าสุด เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนภูธรจังหวัดบึงกาฬ เข้าตรวจค้นหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับการครองครองอาวุธของผู้ก่อเหตุ บริเวณภายในบ้านและชั้นสองของบ้าน โดยพบกระเป๋าเดินทางที่ผู้ก่อเหตุวางอยู่ภายในบ้าน เมื่อเปิดออกดูพบว่ามีจีวร สบงของพระเต็มกระเป๋า ไม่มีเสื้อผ้าของฆราวาสเลย ส่วนในตู้เสื้อผ้า ตำรวจพบจดหมายที่เขียนถึงบุคคลหลายท่าน
ใจความบางฉบับ ว่า ตนถูกตำรวจ และผู้นำชุมชน เป็นผู้มีอิทธิพล ซึ่งตัวเองได้เข้าคุกเมื่อ 27 ก.พ.60 พ้นโทษ 15 ส.ค.2564 ตำรวจ สภ.ดอนหญ้านาง ติดเครื่อง v2k mind control ใส่ในสมองของตน เพื่ออ่านความคิด ดูความเคลื่อนไหว ตอนที่อยู่ในเรือนจำ การกินการนอน ทุกอย่างให้กลุ่มผู้มีอิทธิพล ดู และแชร์ส่งต่อคลิปให้คนอื่นดู ในหมู่บ้านและในตำบล จึงอยากขอความช่วยเหลือ เป็นต้น
ตำรวจจึงเก็บไว้เป็นพยานหลักฐาน และสอบปากคำ พ่อ และน้องสาวผู้ก่อเหตุอีกครั้ง
ด้านจังหวัดบึงกาฬ โดย นายจุมพฏ วรรณฉัตรสิร ผวจ. มอบหมายให้ นายวรพันธ์ ชำนิยันต์ ปลัดจังหวัดบึงกาฬ พร้อมด้วยเหล่ากาชาดจังหวัดบึงกาฬ จนท.ยุติธรรมจังหวัดบึงกาฬ จนท.พมจ.บึงกาฬ จนท.กอ.รมน. ปกครองอำเภอพรเจริญ และผู้นำชุมชนผู้นำท้องที่ลงพื้นที่บริเวณวัดบ้านโพนแก้ว ที่ตั้งศพนางนันทิดา (สงวนนามสกุล) อายุ 41 ปี และบริเวณวัดป่าดู่ธรรมาราม บ้านโนนสวรรค์-บ้านโพนแก้ว ต.หนองหัวช้าง อ.พรเจริญ เพื่อให้กำลังใจครอบครัวของผู้เสียชีวิตที่บ้านของผู้เสียหาย
โดยเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการให้คำแนะนำปรึกษาทางกฎหมายและแจ้งสิทธิตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2559 พร้อมทั้งให้คำปรึกษาทางกฎหมายและการขอรับการช่วยเหลืออย่างอื่นที่อยู่ในภารกิจของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และภารกิจของกระทรวงยุติธรรม รวมถึงสิทธิในด้านอื่นๆ อันพึงได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้แก่ทายาทผู้เสียหายและญาติได้รับทราบ ซึ่งทายาทผู้เสียหายประสงค์ใช้สิทธิยื่นคำขอรับค่าตอบแทนผู้เสียหายฯ หากผู้เสียชีวิตไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดมีสิทธิที่จะได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยาในฐานะเป็นผู้เสียหายในคดีอาญาตามมาตรา 3 ประกอบมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติค่าตอบแทนฯ
ทั้งนี้ การพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญาฯ เป็นดุลยพินิจของคณะอนุกรรมการฯ ประจำจังหวัดพิจารณาต่อไป เบื้องต้นเหล่ากาชาดมอบสิ่งของช่วยเหลือ และ พมจ.บึงกาฬ ช่วยเหลือเป็นเงินสงเคราะห์ผู้ประสบปัญหาทางสังคมกรณีฉุกเฉินครอบครัวละ 3,000 บาท ส่วนครอบครัวที่มีบุตรจะช่วยเหลือ โดยการนำเข้ากองทุนคุ้มครองเด็กและเงินช่วยเหลือเป็นเงินสงเคราะห์เด็กในครอบครัวยากจนรายละ 1,000 บาท
ขณะที่ น.ส.สินินาฎศ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 27 ปี น้องสาวผู้ก่อเหตุ ก็เป็นตัวแทนครองครัวผู้ก่อเหตุเข้าร่วมพิธีสวดก่อนฌาปนกิจศพ พร้อมมอบเงินช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตรายละ 10,000 บาท
จากนั้นเวลา 16.20 น. มีพิธีฌาปนกิจศพผู้เสียชีวิตทั้ง 2 รายพร้อมกัน โดย นายจุมพฏ วรรณฉัตรสิร ผวจ. มอบหมายให้นายมนตรี จารุธำรง นายอำเภอพรเจริญ เป็นประธานในพิธี โดยชาวบ้านร่วมกันก่อเชิงตะกอนขึ้นจำนวน 2 กองบริเวณเมรุชั่วคราว ซึ่งการประกอบพิธีนั้นก็เป็นไปตามประเพณีของหมู่บ้าน เมื่อมีคนตายโหง หรือตยผิดธรรมชาติก็จะเผาศพทันทีในวันรุ่งขึ้น ซึ่งบรรยากาศงานศพก็เป็นไปอย่างโศกเศร้าของครอบครัวผู้เสียชีวิตทั้ง 2 ราย โดยมีชาวบ้าน ผู้นำชุมชน ผู้นำท้องที่ คณะครูตลอดเพื่อนๆ ของลูกผู้เสียชีวิตร่วมในพิธีส่งดวงวิญญาณของผู้ตาย
นายชาตรี ศิริกาญจน์ ผหญ.บ้านโพนแก้ว กล่าวว่า เย็นของวันที่ 18 ที่ผู้ก่อเหตุเดินทางมาบ้าน ข้างบ้านที่เป็นคู่กรณีกันมาก่อนก็เปิดเครื่องเสียงในรถจนเสียงดัง ซึ่งอาจจะสร้างความรำคาญให้กับผู้ก่อเหตุที่เดินทางมาเหนื่อยๆ หรืออาจต้องการพักผ่อน เลยออกมาเคียร์กันจนมีปากมีเสียงกัน แล้วแจ้งมาทางผู้ใหญ่บ้านตนก็ลงไปดู แต่ตอนนั้นไม่เห็นแล้ว แยกย้ายกันแล้ว คิดว่าต้นเหตุน่าจะมาจากการก่อกวนซึ่งกันและกัน 2.อาจจะมีเรื่องอดีตของทั้งสองฝ่ายที่รู้กันเป็นแรงจูงใจในการก่อเหตุ
นายสุพรรณ (สงวนนามสกุล) อายุ 54 ปี พ่อของผู้ก่อเหตุ กล่าวว่า ลูกชายโทรมาบอกว่าจะกลับมาบ้านเพื่อนเคลียร์ปัญหาที่ค้างคาให้จบ เวลาสุดท้ายแล้ว ยอมรับว่ารู้ในใจแล้วว่าลูกชายต้องมาก่อเหตุ ซึ่งตนก็แจ้งบอกข่าวกับญาติพี่น้องให้พากันระมัดระวังตัว ซึ่งตนก็ไม่กล้าอยู่บ้าน เพราะเคยเจอมากับตัวจนต้องได้ยกมือไหว้ ที่ผ่านมาก็เตือนลูกตลอดเคยห้าม เคยจะพาไปหาหมอแต่ก็ไม่ไป ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นว่าลูกชายมีปืน น่าจะมีตอนกลับมาจากกรุงเทพฯ ส่วนที่พบจีวร และสบงในกระเป๋าคาดว่าลูกชายคงไม่ได้สึกมาก่อน จะกลับมาก่อเหตุ ส่วนความรับผิดชอบต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต ตนก็พูดไม่ออกไม่รู้จะช่วยเหลือยังไง ขอให้เรื่องพิธีงานต่างๆ เสร็จสิ้นก่อน
นางกมลพร (สงวนนามสกุล) อายุ 44 ปี ภารยานายจำเนียร ผู้เสียชีวิต กล่าวว่า เรื่องการช่วยเหลือของญาติผู้ก่อเหตุ ก็ไม่รู้จะไปเรียกร้องอะไร เพราะต่างฝ่ายต่างสูญเสีย เข้าใจหัวอกคนที่เสียใจก็เสียใจ ตอนนี้ยังไม่ได้เรียกร้องอะไรจากญาติผู้ก่อเหตุ เพราะสูญเสียทั้งสองฝ่าย..