เหลียวมองเพื่อนบ้านกัมพูชาโดยรัฐบาลลอนนอล กำลังระส่ำระสายกับปัญหาทุจริตก่อนที่แผ่นดินพวกเขาจะลุกเป็นไฟจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เมื่อเขมรแดงเข้ามาปกครองประเทศในปีถัดมา ส่วนประเทศลาวก็เข้าสู่ปีสุกดิบของการปฏิวัติชาติเป็นคอมมิวนิสต์เต็มรูปแบบ ฟิลิปปินส์โดยเฟอร์ดินาน มาร์กอส เข้าสู่ปีที่สามของการใช้กฎอัยการศึกนานถึง 9 ปี ในข้ออ้างเพื่อความมั่นคงต่อภัยร้ายคอมมิวนิสต์
ไม่ต่างกันนัก-ประเทศอื่นๆในเอเชียอาคเนย์ต่างเผชิญปัญหาการสู้รบในสงครามเย็น ที่สหรัฐอเมริกาต้องการแผ่ขยายอิทธิพลประชาธิปไตยแบบ’เบิ้มๆ’ อันมีประธานาธิบดีบ้าสงครามเป็นประมุข
บรรดาพื้นผิวความขัดแย้งที่ปรากฎ บ้านนาทราย ตำบลนาสิงห์ อำเภอศรีวิไล(ก่อนหน้าเป็นเขตอำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย) จังหวัดบึงกาฬ หมู่บ้านอีสานแห่งหนึ่งที่มีอายุราวหนึ่งร้อยปี แทบจะเป็นแหล่งอาศัยของชาวชนบทธรรมดาทั่วไปในชายแดนไทยลาว
หากในปี 2517 ไม่ปรากฎเสี้ยวส่วนประวัติศาสตร์การเมืองไทยว่า หมู่บ้านแห่งนี้โดนเผาวอดวายจากเจ้าหน้าที่รัฐ ชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องไร้ที่อยู่อาศัย หนำซ้ำยังถูกฆ่าตาย เพราะเหตุสงสัยเกี่ยวพันกับผู้ก่อการคอมมิวนิสต์ยังผลให้เจ้าหน้าที่รัฐทำอาชญากรรมกับประชาชน เปรียบดั่งระเบิดเวลาทางการเมืองที่ส่งผลร้ายแรงในกาลต่อมา
บทความนี้เรียบเรียงเนื้อหาจากหนังสือศูนย์ ฉบับพิเศษ โดยจะไล่เลียงเหตุการณ์และสถานการณ์ตามวันที่ของหนังสือพิมพ์สมัยนั้นรายงานและจดจารเอาไว้
22 มกราคม 2517 ปรากฎข่าว คอมมิวนิสต์บุกยึดหมู่บ้าน 5 หมู่บ้าน โดยทุ่มกำลังมาจากลาวหวังประกาศปลดแอกอีสาน ตั้งด่านชักธงแดง คุมถนน-สะพาน หมู่บ้านที่ยึดไว้มีหมู่บ้านนางิ้ว อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย และใช้หมู่บ้านนางิ้วเป็นกองบัญชา การเข้ายึดหมู่บ้านอีก 5 แห่ง มีบ้านหนอง บ้านซำเจียม บ้านเทาใหญ่ บ้านนาบอน และบ้านเทาน้อย มีการประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงว่าจะมาช่วยปลดแอกให้ชาวอีสาน จากนั้นชาวบ้านในอำเภอสังคมอพยพไปตัวจังหวัดหนองคายและอำเภอศรีเชียงใหม่
ประชาชนต่างหวาดกลัวว่าคอมมิวนิสต์จะเข้ายึดอำเภอได้หากทางการไม่จัดการให้เด็ดขาด ที่อำเภอบึงกาฬมีรายงานเสมอๆว่า คอมมิวนิสต์บุกเข้าหมู่บ้านและปะทะกับเจ้าหน้าที่รัฐอยู่บ่อยครั้ง กระทั่งรัฐยึดเอาหมู่บ้านนาทราย และบังคับให้ชาวบ้านขุดหลุมบังเกอร์รอบหมู่บ้าน มีทั้งหลุมบุคคลและหลุมปืน รวมทั้งหลุมหลบภัยใต้ถุนบ้านทุกครัวเรือน ขณะเดียวกันฝ่ายคอมมิวนิสต์ชักธงแดงขึ้นเป็นเขต ตั้งด่านการคมนาคมระหว่างหมู่บ้านนาทรายกับอำเภอบึงกาฬ ปิดถนน และเผาโรงพักจนวอดวาย
ในอีกทางหนึ่งทั้งกรมตำรวจและทางหน่วยงานราชการจังหวัดหนองคาย ต่างออกมาปฏิเสธว่ายังไม่ได้รับข่าวหรือมีรายงานคอมมิวนิสต์บุกเข้ายึดหมู่บ้านและชักธงแดงประกาศเขต ข่าวปรากฎมาจากชาวบ้านพูดลือกันเอง
แต่ถึงอย่างนั้น พลอากาศเอก ทวี จุลทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศบินไปดูสถานการณ์ที่หนองคายและสกลนครในเช้าวันที่ 24 มกราคม 2517
กระทั่งวันที่ 26 มกราคม 2517 ที่บ้านนาทรายมีรายงานเพิ่มเติมว่า ตำบลชมพูพร อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย เจ้าหน้าที่รัฐปะทะกับคอมมิวนิสต์ มีการใช้ใช้ระเบิดถล่ม ไฟไหม้หมู่บ้านคลอกประชาชน 30 ศพ นอกจากนั้นประชาชนอีกราว 200 คนอพยพหนีมาด้วยความแตกตื่น โดยอพยพมาที่หมู่บ้านหนองจันทร์ ริมถนนบึงกาฬ-พังโคน
ไพฑูรณ์ ลิมปิทีป ปลัดจังหวัดหนองคาย แถลงข่าวว่า เจ้าหน้าที่ไทยหลายฝ่ายนำกำลังเข้ากวาดล้างผู้ก่อการร้าย จนหลบหนีไป และชาวบ้านนาทรายได้กลับมาอยู่ในหมู่บ้านแล้ว
สรรชัย ศวิตชาติ นายอำเภอบึงกาฬกล่าวในขณะนั้นว่า อำเภอนี้มีคอมมิวนิสต์แทรกซึมอยู่กว่า 100 หมู่บ้าน โดยเฉพาะเขตยึดครองมีการสร้างสนามเพลาะ และต่อสู้กับเจ้าหน้าที่อย่างเอาจริงเอาจัง หมู่บ้านนาทรายชาวบ้านเกือบ 90% ได้รับการอบรมจากฝ่ายคอมมิวนิสต์แล้ว และเปิดเผยว่ามีการขนอาวุธจำนวนมากจากฝั่งลาวข้ามมาทางภูสิงห์
จากนั้นสถานการณ์กลับพลิกเป็นอีกขั้วเมื่อมีผู้รายงาน พบหลักฐานหลังเข้าไปตรวจสภาพหมู่บ้านว่า วันที่ 24 มกราคม 2517 ผู้เผาหมู่บ้านนาทรายไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ แต่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ อีกทั้งเจ้าหน้าที่รัฐแถลงผ่านวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ว่าตอนเช้ามีการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้ก่อการร้าย เผาหมู่บ้านนาทรายเสียหาย 160 หลังคาเรือนน้ันไม่เป็นความจริง
ทางด้านชาวบ้านนาทรายหลายสิบคนยืนยันเสียงเดียวกันว่า เจ้าหน้าที่ อส. ตำรวจตระเวนชายแดนและหน่วยปฏิบัติการพิเศษ จำนวน 191 คน เข้าปิดล้อมหมู่บ้านในตอนเช้า โดยไม่มีการปะทะกับผู้ก่อการร้ายแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่กวาดต้อนชาวบ้านให้ไปรวมกันที่หนองน้ำ และจุดไฟเผาบ้านเรือน ยุ้งฉาง ที่เก็บข้าว ปอและพืชผลอื่นๆของชาวบ้านเสียหายหลายล้านบาท และยังฆ่า ผัน มัทราช อายุ 50 ปี ใส มัทราช อายุ 40 ปี และเอบ มัทราช อายุ 6 ปี โดยเผาผู้ตายทั้งสามพร้อมกับบ้าน
ทั้งนี้ชาวบ้านสามารถยืนยันและพร้อมที่จะชี้ตัวเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่หลายนายที่เข้าร่วมปฏิบัติการครั้งนี้
ทางด้าน ธีรยุทธ บุญมี นักเคลื่อนไหวทางสังคมในนามกลุ่มประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขณะนั้น ให้ความเห็นว่าการกระทำครั้งนี้ ไม่ผิดอะไรกับโจรปล้นแผ่นดิน เพราะทำลายทรัพย์สินของประชาชนและละเมิดกฎหมายครั้งใหญ่ ยิ่งกว่าคดีทุ่งใหญ่นเรศวรเสียอีก นอกจากนี้ยังบิดเบือนข้อเท็จจริงให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนอีกด้วย
ถ้อยคำจากพยาน อันย้ำภาพจำวันเหตุเกิด
ลม กาญจนสาร ผู้ใหญ่บ้านนาทราย ให้ข่าวกับหนังสือพิมพ์ไทยรัฐถึงที่มาที่ไปว่าตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2517 คอมมิวนิสต์บุกเข้าโจมตีชุดคุ้มครองหมู่บ้านนาทราย อส.มีกำลังน้อยกว่าไม่สามารถต้านทานได้ต้องล่าถอย อส.ถูกยิงตาย 1 คน บาดเจ็บ 2 คน
กระทั่งวันที่ 22 มกราคม 2517 สะพานบ้านห้วยหินที่เข้าหมู่บ้านนาทรายถูกเผา แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้เผาสะพานนี้แน่
23 มกราคม 2517 ชาวบ้านนาทราย 2 รายถูกยิงตาย ผู้ใหญ่บ้านไปแจ้งความที่ สภอ.ศรีวิไล แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่มาจัดการ ชาวบ้านจึงจัดการช่วยกันเผาศพทั้งสองในที่เกิดเหตุ
24 มกราคม 2517 ช่วงเวลาย่ำรุ่ง มีเสียงปืนขึ้นและเจ้าหน้าที่บุกเข้ามาในหมู่บ้าน เรียกให้ชาวบ้านลงมาจากบ้านเรือน โดยการยิงปืนขู่ เมื่อชาวบ้านลงมาจากบ้าน เจ้าหน้าที่อีกพวกหนึ่งก็เข้าเผาบ้านชาวบ้านตามหลัง จากนั้นก็ต้อนชาวบ้านไปรวมกันที่วัด กระทั่งไฟลุกร้อนมาก เจ้าหน้าที่จึงต้อนชาวบ้านออกมากลางทุ่งนาใกล้หนองน้ำ ก่อนเข้ามาเผาบ้านเจ้าหน้าที่ยิงจันศรี ไชยนนท์ตายระหว่างไปส้วมในป่า และยิงครอบครัวมัทราชทั้งสามรายตายและเผาศพพร้อมทั้งบ้านด้วย
ระหว่างที่ต้อนมากลางทุ่งเจ้าหน้าที่จับตัวชาวบ้าน 21 คน ไปสอบสวนที่ สภอ.บึงกาฬ และปล่อยมา 14 คน คงจับไว้ 7 คน เป็นชาย 5 หญิง 2
ชาวบ้านระบุอีกว่าระหว่างที่เผานั้น เจ้าหน้าที่ยังได้ใช้อำนาจปล้นทรัพย์สินของชาวบ้านอีกด้วย หลายคนต้องสูญเสียเงินสดไปรวมกันหลายหมื่นบาท เจ้าหน้าที่เข้าเผาหมู่บ้านที่จำได้มี ร้อยตำรวจโทชูพันธ์ บุญประครอง ร้อยตำรวจเอกประจวบ บัวขาว และเหล่า อส.
สัญญา ธรรมศักดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นระบุว่าเป็นเรื่องซับซ้อน พลตำรวจโทประจวบ สุนทรางกูร ออกความเห็นว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจปล้นทรัพย์สินของชาวบ้านอีกด้วย
16 กุมภาพันธ์ 2517 ปลัดอำเภอยอมรับว่าเจ้าหน้าที่บุกทำลายเมื่อวันที่ 24 จริง เพราะสืบแน่ชัดว่าชาวบ้านนาทรายเป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ เหตุที่ทำการปราบปรามครั้งนี้ มีการวางแผนร่วมกันหลายคน มีสรรชัย ศวิตชาติ นายอำเภอบึงกาฬ ร้อยตำรวจโทขจร สัยวัตร ผู้บังคับบัญชาตำรวจตระเวนชายแดน และปลัดอำเภอ และว่าวันนั้นได้ระดมยิงปืนเข้าไปหมู่บ้านนานนับหนึ่งชั่วโมงจนเกิดไฟไหม้ แต่ถอนกำลังกลับก่อนเมื่อได้ข่าวว่ารัฐมนตรีทวี จุลทัพย์เดินทางไปตรวจการและอาจแวะบึงกาฬ เขากล่าวอีกว่าเคยส่งพระเข้าไปแก้แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ธีระยุทธ บุญมีเข้าพบนายกรัฐมนตรีโดยนำชาวบ้านนาทราย 4 คน เข้าพบด้วย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเรื่องที่ได้รับฟังมานี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง พร้อมกล่าวว่าควรจะได้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายปราบปรามเสียใหม่
ธีระยุทธกล่าวอีกว่า การปราบปรามคอมมิวนิสต์เป็นการต่อสู้ทางการเมือง ระหว่างอุดมการณ์สองฝ่าย แต่เราต้องไม่ละเมิดมนุษยธรรมเช่นนั้น และประเด็นสำคัญคือการบิดเบือนข่าวหลอกลวงประชาชนของเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง
พลเอกกฤษณ์ สีวะรา ให้ทัศนะว่า กรณีหมู่บ้านนาทรายถูกเผา หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รังแกประชาชน ต้องถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงมากและต้องมีการลงโทษ
ศูนย์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย แจ้งจะนำชาวบ้านนาทรายพบประชาชนที่สนามหลวงเพื่อ พิสูจน์ความจริงเรื่องนาทราย
เสนีย์ ปราโมช ตัวแทนรัฐบาลกล่าวว่าเรื่องนี้ตัดสินได้ลำบากมาก เพราะถ้าลงโทษเจ้าหน้าที่ไป แต่ปรากฎว่าชาวบ้านเป็นฝ่ายผิดจริงๆ เจ้าหน้าที่ก็จะเสียกำลังใจ หากชาวบ้านเป็นฝ่ายถูก แต่ไม่ได้ลงโทษเจ้าหน้าที่ ชาวบ้านก็จะหันไปเข้ากับพวกคอมมิวนิสต์หมด
หนึ่งเดือนจากวันเกิดเหตุ 24 กุมภาพันธ์ 2517 ชาวบ้านนาทราย 64 คน เปิดโปงผู้เผาหมู่บ้านผ่านการไฮด์ปาร์ค ต่อประชาชนนับหมื่นที่สนามหลวง ยืนยันเสียงเดียวกันว่า เจ้าหน้าที่เผา และไม่มีการปะทะกัน กลุ่มนักศึกษาโดยศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์เรียกร้อง 4 ข้อ 1.ให้รัฐบาลชดใช้ค่าเสียหายแก่ชาวบ้านนาทราย 2.ให้เอาผู้ทำผิดครั้งนี้มาดำเนินการลงโทษ 3.ให้รัฐบาลรับรองความปลอดภัยของชาวบ้านนาทรายเหล่านี้ที่ได้เปิดเผยความจริง 4.ให้รัฐบาลเปลี่ยนนโยบายในการปราบปรามผู้ก่อการร้ายเสียใหม่
ก่อนหน้านั้นสองวัน (22 กุมภาพันธ์ 2517) สถาปน์ ศิริขันธ์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ยื่นญัตติด่วนเสนอต่อประธานสภาขอให้สอบสวนกรณีบ้านนาทราย เพราะกระทบกระเทือนต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและความมั่นคงของชาติ ระบุด้วยว่ากรรมการสอบสวนที่ตั้งไป ล้วนเป็นข้าราชการทั้งสิ้น เกรงว่าฝ่ายประชาชนจะไม่ได้รับความเป็นธรรมเท่าที่ควร
แต่สภากลับไม่อนุมัติ กระจ่าง พันธุนาวิน ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจของกองบัญชาการป้องกันและปราบปรามคอมมิวนิสต์ แสดงการคัดค้านว่า จะเป็นการก้าวก่ายการปฏิบัติงานของฝ่ายบริหาร ทั้งอาจเป็นเครื่องมือของกลุ่มผลประโยชน์ ธรรมเนียมของสงครามย่อมจะต้องฆ่ากัน การที่คนไทยฆ่าคนไทยด้วยกันไม่ใช่จะเพิ่งเกิดที่นาทราย ในประวัติศาสตร์มีอยู่ทุกสมัย
26 กุมภาพันธ์ 2517 ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย แจ้งกับสื่อมวลชนว่า ไม่อยากให้ชาวนาทรายทั้ง 64 คนกลับนาทราย เพราะหากมีอันตรายเกิดขึ้นแล้ว จะก่อความยุ่งยากให้เพิ่มขึ้นมาอีก ก่อนที่ชาวบ้านนาทรายจะเดินทางกลับหมู่บ้านในวันถัดมาและยืนยันว่าพวกเขาอยู่ข้างรัฐบาลแต่กลับกลายเป็ยผู้ร้ายในสายตาเจ้าหน้าที่
เมื่อนักข่าวลงพื้นที่นาทราย สัมภาษณ์ผู้ใหญ่บ้านอีกครั้ง ที่ตอบด้วยความกระอักกระอ่วนว่า สถานะของเขาในพื้นที่นั้นตอบยากมาก แต่ไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์ตามที่ถูกกล่าวหาอย่างแน่นอน แม้เจ้าหน้าที่จะสงสัยมาตลอดว่า เป็นถึงผู้ใหญ่บ้านมีโอกาสที่จะเป็นแแนวร่วมคอมมิวนิสต์สูง ถ้าไม่เช่นนั้นคงโดนพวกนั้นฆ่าตายไปแล้ว
นิยม ติดมา เด็กหญิงที่แม่ของเธอถูกยิงเสียชีวิตกล่าวว่า หลังเหตุการณ์ชุดคุ้มครองหมู่บ้านโดนโจมตีแล้ว ครอบครัวก็กลัวมาก จึงได้ให้เธอ แม่และน้อง ออกไปอยู่กับญาติที่อีกหมู่บ้าน ส่วนพ่อยังต้องดูแลข้าวของและควายอยู่ที่บ้านนาทราย วันที่ 23 มกราคม 2517 แม่และเธอกลับมาหมู่บ้านนาทรายอีก เพราะอยากจะมาเอาข้าวไปทำข้าวปุ้น และเมื่อแม่เดินทางออกไปหมู่บ้านนั้นอีกครั้งจึงโดนยิงตายต่อหน้าเธอ หลังจากนั้นมีการไปดูศพและเผาในเย็นวันนั้นเลย ส่วนวันเกิดเหตุเธอยืนยันว่าเจ้าหน้าที่เป็นคนเผาหมู่บ้านแน่นอน เพราะเจ้าหน้าที่เป็นคนบอกให้ลงจากเรือน และไม่มีการปะทะกันระหว่างชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่
อ่าง ยอดแสง อายุ 52 ปี ในขณะนั้นเล่าว่า รู้สึกเป็นทุกข์ และสิ้นเนื้อประดาตัว คนไทยตาดำๆเหมือนกัน ทำไมมาทำกันลง แล้วหากจะหาว่าเราเป็นคอมมิวนิสต์ก็ว่าไป ถ้าไม่สงสาร เพราะไม่มีของกลางเอาผิดพวกเขาได้
28 กุมภาพันธ์ 2517 พลโท สายหยุด เกิดผล ออกมายอมรับว่า เหตุการณ์ที่บ้านนาทราย เจ้าหน้าที่ทำเกินกว่าเหตุ และทางราชการจะยอมชดใช้ค่าเสียหายและสร้างบ้านให้ใหม่ และจะเลิกใช้นโยบาย ”ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ในทางการเมือง ผลจากกรณีนี้ ชวินทร์ สระคำ จึงได้เขียนเป็นหนังสือเรื่อง พิษเพลิงร้ายที่บ้านนาทราย พิมพ์ในปีเดียวกันก่อนที่จะเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ
ข้อสรุปจากหนังสือศูนย์ บอกว่า เหตุการณ์บ้านนาทรายที่ชาวบ้าน 6 คนถูกฆ่า บ้าน 106 หลังคาถูกเผา ประชาชนอีกนับพันไร้ที่อยู่ เป็นผลพวงจากกฎหมายโดยเจ้าหน้าที่ผู้กุมเครื่องมือเผด็จการฟาสซิสต์ ที่เอื้ออำนวยต่อการใช้อำนาจกดหัวประชาชน และไม่ใช่เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในเมืองไทย แต่ที่’กระดูก’ ของชาวบ้านนาทรายร้องได้เพราะหลังการต่อสู้ของนักเรียน นิสิตนักศึกษาและประชาชน กรณี 14 ตุลา ทำให้บรรยากาศทั่วประเทศเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ก่อนประชาชนจะพบความรุนแรงอีกครั้งในเหตุ 6 ตุลา 2519 วันมหาวิปโยค
ที่มา: หนังสือศูนย์ ฉบับพิเศษ แทนศูนย์ฉบับที่ 4
_______________________________________________
ผู้สนใจเรื่องราวนี้ต่อสามารถหาอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
-หนังสือพิษเพลิงร้ายที่บ้านนาทราย (ชวินทร์ สระคำ)
-หนังสืออสูรนาทราย(แดง นาคิน)
-เหตุเกิดที่บ้านนาทราย(ชัยวัฒน์ สุรวิชัย)
#TheIsaander#นาทราย#บึงกาฬ#หนองคาย#เผานาทราย