[ae-fb-embed url=’https://www.facebook.com/khaosod/videos/2678572019039601/’ width=’500′ showtext=’true’ showcaptions=’true’ allowfullscreen=’true’ autoplay=’true’]
ชื่นชมครอบครัว น.ส.วิไลวรรณ เลิศสงคราม อายุ 50 ปีสาวใหญ่ใจบุญ ชาวอำเภอโซ่พิสัย จังหวัดบึงกาฬ หลังประสบอุบัติเหตุทางถนนทำให้สมองตาย ญาติพี่น้องตัดสินใจบริจาคอวัยวะสำคัญทั้งดวงตาและไต ซึ่งสามารถนำไปช่วยชีวิตผู้ป่วยรายอื่นได้อีก 4 ชีวิต เพื่อสร้างบุญกุศลครั้งใหญ่ให้กับเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจากโลกใบนี้ไปอย่างมีความสุข
เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 31 พ.ค.ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก พญ.นาตยา มิลล์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบึงกาฬ ว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาได้ทำการผ่าตัดนำเอาอวัยวะต่างๆ ที่สำคัญ เช่น ดวงตา 2 ข้างและไต 2 ข้างของ น.ส.วิไลวรรณ เลิศสงคราม อายุ 50 ปี ชาวอำเภอโซ่พิสัย จังหวัดบึงกาฬ ที่ประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ล้มสมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก ถูกส่งตัวเข้ามารักษาที่ รพ.บึงกาฬ คณะแพทย์พยาบาลได้ช่วยกันดูแลรักษาจนสุดความสามารถแล้ว แต่เกิดสมองตาย จึงได้ปรึกษาหารือกับครอบครัวของผู้ป่วยทั้งคุณพ่อและน้องสาวจนเป็นที่เข้าใจ จึงมีประสงค์จะบริจาคอวัยวะสำคัญดังกล่าวให้กับบุคคลอื่น จึงได้มีการผ่าตัดนำเอาอวัยวะสำคัญส่งต่อให้กับผู้ป่วยรายอื่นที่เข้าคิวรออยู่ โดยมีคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากสภากาชาดไทยเดินทางมาลงมือผ่าตัดเอาอวัยวะ ทั้งนี้คณะแพทย์ได้ใช้เวลาผ่าตัดอวัยวะ ประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งหลังจากการผ่าตัดเสร็จคณะแพทย์ พยาบาล ทำการขอขมาและคารวะร่างผู้ป่วย ก่อนจะนำอวัยวะมีดวงตา 2 ข้าง และไต 2 ข้าง ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ส่งสภากาชาดไทย นำไปผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะให้กับผู้ป่วยรายอื่นต่อไป ซึ่งการเดินทางมารับและนำส่งอวัยวะในครั้งนี้ ได้รับความอนุเคราะห์จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 244 บึงกาฬอำนวยความสะดวกสนาม ฮ.และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองบึงกาฬ คอยอำนวยความสะดวก
นพ.กมล แซ่ปึง รอง ผอ.รพ.บึงกาฬ กล่าวว่า เคสนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกในจังหวัดบึงกาฬ ที่ผู้ป่วยบริจาคอวัยวะ ผู้ป่วยรายนี้ได้ประสบอุบัติเหตุทางถนน รถจักรยานยนต์ล้ม ทำให้สมองกระทบกระเทือนจนสมองตาย ซึ่งจากการตรวจของแพทย์ไม่สามารถจะรักษาให้กลับคืนเป็นปกติได้ ซึ่งคณะแพทย์ได้ปรึกษากับครอบครัวของผู้ป่วย จนเข้าใจและมีความประสงค์ที่จะบริจาคอวัยวะให้กับสภากาชาดไทย เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยรายอื่น ซึ่งถือว่าเป็นการทำบุญให้กับตัวผู้ป่วยก่อนที่จะเสียชีวิต จากการตรวจของแพทย์พบว่าผู้ป่วยรายนี้สามารถบริจาคไตได้ 2 ข้าง ดวงตา 2 ข้าง ซึ่งสามารถนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยรายอื่นได้อีก 4 ราย ถือว่าเป็นกุศลที่ยิ่งใหญ่และขอกุศลที่ผู้เสียชีวิตได้บริจาคอวัยวะในครั้งนี้จงนำไปสู่ภพภูมิที่ดี
นายหนูใจ เลิศสงคราม อายุ 80 ปี พ่อของ น.ส.วิไลวรรณ เลิศสงคราม อายุ 50 ปี(ผู้ป่วย) เผยว่า ลูกสาวคนนี้เป็นคนที่ 3 ของลูกๆ ทั้ง 5 คน ได้ประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนตร์เสียหลักล้ม และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอำเภอโซ่พิสัย และส่งต่อมายังโรงพยาบาลบึงกาฬ ซึ่งแพทย์ได้แจ้งว่าสมองกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจนสมองตาย ไม่สามารถรักษาได้ จึงได้ปรึกษาทีมแพทย์ และครอบครัว ตกลงมอบอวัยวะให้กับแพทย์เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยรายอื่นที่ยังรอโอกาสอยู่
ส่วนน้องสาวของ น.ส.วิไลวรรณ เลิศสงคราม(ผู้ป่วย) พูดเสริมว่าครั้งที่พี่สาวยังมีชีวิตอยู่ ก็จะพูดคุยกันเป็นประจำ เวลาดูข่าวว่ามีการบริจาคอวัยวะ เอาไปช่วยเหลืออีกหลายชีวิตที่เขารออยู่ ไม่รู้ว่าเขาจะเอาอวัยวะของเราไหมเพราะเราทำงานหนัก ถ้าเขาเอาเราก็พร้อมที่จะให้ ถ้ามันเป็นประโยชน์กับคนอื่นหากว่าตายไปแล้ว ดีกว่าจะเอาไปเผาทิ้งสิ่งที่บริจาคไปจะช่วยได้หลายชีวิต ซึ่งก็คุยกันมาตลอด ที่สำคัญพี่สาวเป็นคนใจบุญและชอบทำบุญ ตลอดชีวิตของเขาเป็นคนชอบไปทำบุญที่วัด ไหว้พระสวดมนต์ทั้งในพรรษาและนอกพรรษา และจะไปปฏิบัติธรรมอยู่เรื่อยๆ หลังจากแพทย์แจ้งให้ทราบว่าไม่มีทางรักษาพี่สาวได้ ทางครอบครัวและคณะแพทย์ก็ได้พูดคุยกันอยากให้พี่สาวทำบุญเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งก็คิดว่าพี่สาวน่าจะภูมิใจในสิ่งที่ญาติพี่น้องได้ตัดสินใจบริจาคอวัยวะในครั้งนี้
นายหนูใจ ผู้เป็นพ่อกล่าวทิ้งท้ายว่า ความรู้สึกหลังได้รู้จากหมอว่าลูกสาวสมองตายแล้ว อวัยวะต่างๆ ยังดีอยู่อยากจะทำบุญร่วมบริจาคอวัยวะให้กับลูกสาวไหม หลังได้ยินเท่านั้นแหละผมภูมิใจยินดีเลย ในชีวิตถือว่าครั้งนี้เป็นการทำบุญครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต ทอดถวายกฐินก็ไม่เท่ากับการบริจาคอวัยวะให้ผู้อื่น เพราะเราได้ช่วยชีวิตให้ผู้อื่นได้มีชีวิตดำเนินต่อไปได้ บุญกุศลในครั้งนี้ถือว่ายิ่งใหญ่มากนัก สุดท้ายอยากเชิญชวนพี่น้องไม่ว่าจะเป็นชาวจังหวัดบึงกาฬ หรือคนไทยทั่วไป ถ้าคิดได้ขอให้ท่านทำไปเถอะ บริจาคอวัยยะกันไปเถอะดีกว่าจะเอาร่างกายหรือเอาอวัยวะไปเผาทิ้งเปล่าๆ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย บุญกุศลส่วนนี้หาที่เปรียบไม่ได้ ดินและฟ้า มหาสมุทรก็ยังโตไม่เท่ากับการบริจาคดวงตาและไตในครั้งนี้.
ขอขอบคุณข่าว สยามรัฐอ่านข่าวได้ที่ https://siamrath.co.th/n/159419
‘>