เลขาธิการ สทนช. นำทีมลงพื้นที่ บึงโขงหลง และประตูระบายน้ำห้วยกำแพง ติดตามความคืบหน้าแผนบริหารจัดการน้ำจังหวัดบึงกาฬ เร่งพัฒนาหนองน้ำธรรมชาติในทุกอำเภอเพิ่มแหล่งกักเก็บน้ำ หวังแก้ปัญหาน้ำทั้งระบบ
วันที่ 19 ธันวาคม นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) นำคณะผู้บริหาร สทนช. เจ้าหน้าที่ อาจารย์มหาวิทยาลัยนเรศวร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย บริษัทที่ปรึกษา และสื่อมวลชน ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการบริหารจัดการน้ำ ณ บริเวณ “บึงโขงหลง” และ “ประตูระบายน้ำห้วยกำแพง” ในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินโครงการศึกษาแผนบูรณาการบริหารจัดการน้ำ เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง ปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค และสร้างความมั่นคงของทรัพยากรน้ำ เสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับประชาชนในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ
นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า จังหวัดบึงกาฬเป็นจังหวัดหนึ่งที่ประสบปัญหาภัยแล้ง อุทกภัย และปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคซ้ำซากในหมู่บ้านที่ห่างไกลแหล่งน้ำ ในช่วง 16 ปีที่ผ่านมา จังหวัดบึงกาฬมีพื้นที่ประสบปัญหาน้ำท่วมทั้งหมดเท่ากับ 880.27 ตารางกิโลเมตร และในรอบ 10 ปี มีพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้งทั้งหมดเท่ากับ 237.264 ตร.กม. อีกทั้งระดับน้ำในแม่น้ำโขงลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงฤดูแล้ง ขณะที่ความต้องการใช้น้ำรวมอยู่ที่ 92.529 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี โดยมีความต้องการน้ำเพื่อการเกษตรในเขตชลประทาน 0.825 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีและนอกเขตชลประทาน 8.494 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ส่วนความต้องการน้ำอุปโภคบริโภคพบว่า ความต้องการน้ำอุปโภคบริโภคในปัจจุบัน 20.274 ล้านลูกบาศก์เมตร ในอนาคต 20 ปีข้างหน้าคาดว่าจังหวัดบึงกาฬจะมีความต้องการใช้น้ำรวม 22.715 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี เพิ่มขึ้น 2.441 ล้านลูกบาศก์เมตร
ด้วยเหตุนี้จึงมีความจำเป็นที่ต้องเร่งพัฒนาศักยภาพการบริหารจัดการน้ำของจังหวัดบึงกาฬให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน รองรับความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาแผนบูรณาการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ ซึ่ง สทนช.มอบหมายให้มหาวิทยาลัยนเรศวรและกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาดำเนินการศึกษาทั้งด้านการจัดทำแผนบูรณาการตามสภาพปัญหาพื้นที่ในเชิงลึก จัดทำแผนการพัฒนาบึงหรือหนองน้ำธรรมชาติที่มีศักยภาพของจังหวัดบึงกาฬ และจัดทำรายงานวางโครงการเบื้องต้นที่สำคัญเร่งด่วนตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี
พร้อมทั้งการจัดทำฐานข้อมูลระบบสารสนเทศ และงานด้านประชาสัมพันธ์ มวลชนสัมพันธ์และการมีส่วนร่วม ปัจจุบันที่ปรึกษาได้ลงพื้นที่พบปะประชาชนกว่า 5 ครั้งผ่านกิจกรรมการประชุมปฐมนิเทศและการประชุมกลุ่มย่อย โดยมีประชาชนเข้าร่วม 611 คน เพื่อสอบถามความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และนำมาประกอบการจัดทำแผนบูรณาการ (Integrated Master Plan) พร้อมจัดทำแผนการพัฒนาบึงหรือหนองน้ำธรรมชาติที่มีศักยภาพของจังหวัดบึงกาฬ โดยจะดำเนินการศึกษาแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2566
จากการศึกษาเบื้องต้นพบว่า หากมีการพัฒนาศักยภาพของบึง หนอง แหล่งน้ำต่างๆ ในจังหวัดบึงกาฬอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยกักเก็บน้ำในช่วงฤดูฝน ให้เพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำในภาคส่วนต่างๆ ในฤดูแล้งได้ ซึ่งมีการคัดเลือกแหล่งน้ำที่มีศักยภาพสามารถดำเนินการพัฒนาได้ทันที จำนวน 8 แห่งในทุกอำเภอ ได้แก่ หนองเชียงบุญมา อ.บึงโขงหลง หนองสามหนอง อ.พรเจริญ หนองใหญ่ อ.ศรีวิไล หนองนาแชง อ.เซกา บึงขามเบี้ย อ.บุ่งคล้า หนองร้อน อ.ปากคาด หนองผักชี อ.โซ่พิสัย และหนองบังบาตร อ.เมืองบึงกาฬ
ถ้าสามารถพัฒนาบึงหรือหนองน้ำทั้งหมดได้ตามแผน จะสามารถเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้กับแหล่งน้ำได้ แม้จังหวัดบึงกาฬมีปริมาณน้ำต้นทุนเพียงพอต่อความต้องการน้ำทั้งจังหวัด แต่มีปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภคในระดับตำบล ระดับหมู่บ้าน พบว่า มีระบบประปาหมู่บ้าน 574 หมู่บ้าน ไม่มีระบบประปา 43 หมู่บ้าน ซึ่งจำเป็นต้องมีการก่อสร้างประตูระบายน้ำ สร้างฝาย ระบบเชื่อมโยงแหล่งน้ำ พัฒนาแหล่งน้ำ ขุดลอกแหล่งน้ำ ปรับปรุงซ่อมแซมระบบประปา และขยายเขตประปา จะช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำให้กับประชาชนในพื้นที่ห่างไกลแหล่งน้ำได้ดีขึ้น
ขณะที่นายนริศ อาจหาญ คณะกรรมการลุ่มน้ำโขง (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) เสนอว่า พื้นที่บึงโขงหลง หากมีการพัฒนาศักยภาพดีๆ จะสามารถสร้างผลประกอบการทางเศรษฐกิจ และสังคมได้เป็นอย่างมาก โดยตลอดระยะทางจะเห็นว่า มีท่าเรือเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก แต่สิ่งที่นำเสนอวันนี้ก็คือ อยากให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องผ่าน สทนช. ได้เน้นหนักในการเตรียมพร้อมมาตรการในการรองรับการแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น 1. การรุกล้ำที่สาธารณะประโยชน์ของบึงโขงหลง หรือพื้นที่ชุ่มน้ำ 2. การทำให้ระบบนิเวศในบึงโขงหลงซึ่งอาจจะเกิดความเสียหายในอนาคตจะต้องมีมาตรการอย่างไรบ้าง เพื่อแก้ไข และ 3.การที่มีเรือแล่นตรงไปสักการะปู่อือลือที่เกาะดอนแก้วดอนโพธิ์จะทำให้ระบบนิเวศใต้น้ำเกิดความเสียหายหรือไม่
“จากการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำและการบริการจัดการน้ำที่ บึงโขงหลง และประตูระบายน้ำห้วยกำแพง ทั้ง 2 แห่ง นับเป็นแหล่งน้ำสำคัญของจังหวัดบึงกาฬ บึงโขงหลง ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ อ.เซกา และ อ.บึงโขงหลง มีขนาดพื้นที่ 11,494.79 ไร่ เป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่สำคัญของจังหวัดบึงกาฬ เป็นแหล่งน้ำเพื่อการอนุรักษ์ การผลิตประปา และการเพาะปลูก ซึ่ง สทนช. ได้กำหนดให้บึงโขงหลงอยู่ในกลุ่มแผนการแก้ไขปัญหาทรัพยากรน้ำอย่างเร่งด่วนให้สอดคล้องกับแผนแม่บทฯ น้ำ 20 ปี ขณะนี้มีหน่วยงานจากภาคประชาชน ภาครัฐ และท้องถิ่น เสนอแผนงานพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว โดยที่ปรึกษาโครงการได้รวบรวมข้อมูลและนำมาเสนอเพื่อพิจารณาดำเนินการพัฒนาในระยะต่อไป
สำหรับประตูระบายน้ำห้วยกำแพง เป็นโครงการเพื่อบรรเทาอุทกภัยและลดความเสียหายจากอุทกภัยแก่พื้นที่ในเขตอำเภอเมืองบึงกาฬ เช่น ศูนย์ราชการจังหวัดบึงกาฬ พื้นที่หน่วยราชการ พื้นที่เกษตรกรรมข้าวและพืชไร่ เนื่องมาจากระดับน้ำหลากในแม่น้ำโขงสูงในบางปี และไหลย้อนเข้าห้วยกำแพง และเข้ามาในหนองกุดทิง โดยมีระดับสูงกว่าช่วงฤดูแล้งหลายเมตร โดยกรมชลประทานรับผิดชอบก่อสร้างประตูระบายน้ำห้วยกำแพง คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2566 ซึ่งจะช่วยลดความเสียหายที่เกิดขึ้นจากปัญหาน้ำท่วมน้ำหลากได้ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาแหล่งน้ำตามแผนบูรณาการฯ โดยชุมชนมีส่วนร่วมในการกำหนดรูปแบบการพัฒนา จะสามารถเพิ่มศักยภาพในการกักเก็บน้ำ ช่วยเพิ่มแหล่งน้ำต้นทุนสำหรับการผลิตน้ำอุปโภคบริโภคที่มีความขาดแคลนในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น” เลขาธิการ สนทนช. กล่าว